ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 891

บทที่ 891 การประชุมกลุ่ม (2)

……….

แม้เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้จ้องมองมาที่เขา หยางกงก็หน้าไม่แดง ใจไม่สั่น เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า

“หนิงเยี่ยน เจ้าเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เจ้าย่อมรู้สภาพตัวเองดีที่สุด”

“ตามหลักการแล้ว เจ้าน่าจะรู้วิธีเลื่อนระดับขั้น”

ที่เขาพูดหมายความว่า ผู้บำเพ็ญทุกคนล้วนคิดไตร่ตรองถึงระดับขั้นต่อไปของตัวเองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ตัวอย่างเช่น แก่นปราณลัทธิเต๋าขั้นห้าย่อมรู้ว่าขั้นตอนต่อไปของตนคือการฟักวิญญาณแรกเกิด ขณะที่ผู้ปฏิบัติคุณธรรมระดับลัทธิขงจื๊อขั้นห้าก็ย่อมรู้ว่าขั้นตอนต่อไปของตนเองคือการควบแน่นร่างแห่งปราณเที่ยงธรรม

แม้ไม่ทราบวิธีการบำเพ็ญแบบเฉพาะเจาะจง แต่ก็ควรมีลางสังหรณ์เกี่ยวกับทิศทางข้างหน้าคร่าวๆ

ตอนนี้ สวี่ชีอันเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เขาควรจะรู้วิธีก้าวไปข้างหน้าอีกครึ่งก้าว

ยกเว้นเพียงส่วนน้อย คนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ พวกเขาเข้าใจทันทีว่าหยางกงหมายถึงอะไร จึงหันไปมองสวี่ชีอันทันที

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกรายละเอียดเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเขาหลังจากเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว รวมถึงการวิเคราะห์ของเสินซูให้ทุกคนรู้

“ดังนั้น ตราบเท่าที่เจ้ายังเติมแก่นแท้จิตวิญญาณในร่างกายเจ้าจนเต็มและหลอมรวมมันเป็นหนึ่งเดียว เจ้าก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์”

เว่ยเยวียนพูดเป็นคนแรก หลังจากพูดแล้ว เขาก็หมั่นจิบชา เพื่อเว้นระยะให้คนอื่นพูดบ้าง

“เนื่องจากนี่เป็นค่ายกล เราควรให้ศิษย์พี่ซุนดูแล้วค่อยฟังความคิดเห็นของเขา”

นอกจากมีฐานะเป็นท่านโหราจารย์แล้ว ฉู่ไฉ่เวยยังดำรงตำแหน่งระดับสูงในต้าฟ่ง ดังนั้นนางจึงพูดอย่างกระตือรือร้น

เหล่าเหนือมนุษย์ทุกคนมองหน้ากันด้วยความอับจนหนทาง

ซุนเสวียนจีพยักหน้า ก้าวไปข้างหน้าเงียบๆ เดินไปยังกล่องใบใหญ่ที่คลุมไว้ด้วยผ้าไหมสีเหลือง และใช้สองนิ้วของเขาแตะข้อมือที่สวี่ชีอันยื่นมาให้

เขาหลับตาและมองเข้าไปภายในร่างกายของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว

‘พิจารณาจากชีพจรแล้ว ชายคนนี้ก็น่าจะเป็นโรคไตด้วย’…หลี่หลิงซู่มองภาพนี้แล้วอดไม่ได้ต้องสาปแช่งในใจ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนยกเว้นผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ก็มองไปยังผู้พิทักษ์หยวน

ผู้พิทักษ์หยวนอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ไม่ใช่ระดับขั้นของเขาและอ่านใจอยู่เงียบๆ

“ศิษย์พี่ซุนบอกว่าในร่างกายฆ้องเงินสวี่ไม่มีรูปแบบค่ายกลใดๆ อยู่”

ไม่มี?!

สวี่ชีอันตกตะลึงและหันไปมองซุนเสวียนจี

“ท่านไม่เห็นเลยหรือ?”

ศิษย์พี่ซุนในชุดอาภรณ์ขาวพลิ้วไหวพยักหน้า

เป็นไปไม่ได้ ลายเส้นเหล่านั้นมันตราตรึงอยู่ในยีนข้า เหมือนกับหิ่งห้อยในราตรีที่มืดมิด ชัดเจนและสะดุดตา…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกว่ามีมือนุ่มๆ มาแตะชีพจรเขา

‘เอามือของเจ้าออกไป’…หลี่เมี่ยวเจินทนไม่ได้กับพฤติกรรมฉวยโอกาสประเภทนี้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะความหึงหวง

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว

ฮว๋ายชิ่งหลับตา คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่มีรูปแบบค่ายกลจริงๆ!”

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็ลงความเห็นเป็นครั้งสุดท้าย

“ดูเหมือนว่าจะมีเพียงสวี่หนิงเยี่ยนเท่านั้นที่มองเห็น”

อาซูหลัวเข้ามาพูดคุยและวิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง

“แทนที่จะบอกว่ามันเป็นรูปแบบค่ายกล สถานการณ์ของเขากลับเหมือนแก่นแท้จิตวิญญาณของเทพมารมากกว่า นี่เป็นของขวัญที่ฟ้าดินประทานมาให้ ขนาดเทพมารยังมองเห็นแก่นแท้จิตวิญญาณเป็นลายเส้นได้ ทำไมเขาจะมองไม่เห็นล่ะ?”

นักบวชเต๋าจินเหลียนแสดงความคิดเห็นว่า

“อาตมาเชื่อว่าการพูดคุยกันว่ามองเห็นได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะมันมีความสำคัญอยู่แล้วในตัวมันเอง”

“สวี่หนิงเยี่ยนได้บอกไปแล้วว่าระบบจอมยุทธ์มีฟ้าดินเป็นของตัวเองและไม่สามารถแทนที่วิถีแห่งฟ้าได้ ดังนั้นต่อให้ ‘รูปแบบค่ายกล’ ในร่างกายเขาจะเป็นของขวัญจากฟ้าดิน แต่ก็มิได้เป็นแก่นแท้จิตวิญญาณของเทพมาร”

“หรืออาจเป็นหนังสือรับรองของผู้เฝ้าประตู?”

ประโยคนี้ทำให้ทุกคนคิดได้ทันทีหวางเจินเหวินพึมพำว่า

“สมมติว่าคำพูดของนักบวชเต๋าจินเหลียนถูกต้อง แล้วจะกรอกใบรับรองนี้อย่างไร?”

“อมิตตาพุทธ!” ไต้ซือเหิงหย่วนแสดงความเห็นราวกับว่าเขาสบโอกาสเหมาะ

“เนื่องจากเป็นของขวัญจากฟ้าดิน จึงย่อมต้องมีฟ้าดินส่งเสริม”

เมื่อเห็นว่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ไม่ได้พูดนานแล้ว ปรมาจารย์ซินกู่ฉุนเยียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดแสดงทัศนคติมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและถามว่า

“แล้วฟ้าดินจะชดเชยความปรารถนาของสวี่ชีอันอย่างไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง