ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 892

บทที่ 892 ฝ่าฟันอุปสรรคครั้งที่สอง

……….

จ้าวโส่วกับหยางกงมองหน้ากัน พวกเขามิได้แปลกใจ หากแต่ถอนหายใจ

“สหายรักทั้งสองท่านมีปัญหาอะไรรึ?”

ฮว๋ายชิ่งถามอย่างผู้ทรงอำนาจ

จ้าวโส่วส่ายหัวแล้วพูดว่า

“ฆ้องเงินสวี่เคยสื่อสารกับดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยสื่อสารกับวิญญาณอาวุธเลย”

ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…ตอนแรกสวี่ชีอันตกตะลึงจากนั้นก็ครุ่นคิดเรื่องนี้แล้วจึงเอ่ยปากถามว่า

“ถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

‘เขาใช้งานดาบสยบดินแดนบ่อยครั้ง แต่วิญญาณอาวุธในดาบไม่เคยสื่อสารกับเขา อาจเป็นเพราะตบะของเขายังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่เคยคิดอยากสื่อสารมาก่อน’

‘จนแม้เมื่อเขาเลื่อนระดับเป็นเหนือมนุษย์แล้ว ดาบสยบดินแดนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสื่อสารกับเขา’

‘อาวุธวิเศษนี้สืบทอดมาจากฮ่องเต้ผู้สถาปนาอาณาจักร เปรียบดั่งราชาผู้สง่างาม มักทำอะไรสุขุมลุ่มลึก ไม่นินทาว่าร้ายผู้อื่น ไม่ทำตัวโอหังเอาแต่ใจ กระทั่งยังไม่เคยทำอะไรแปลกประหลาด’

‘ทั้งยังทรงพลังยิ่งกว่าดาบไท่ผิง’

‘ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าในฐานะที่เป็นอาวุธเวทมนตร์ของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อและรองปราชญ์เอก ทั้งดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อย่อมต้องรักษาเอกลักษณ์ที่ควรค่าแก่การเคารพไว้’

หวางเจินเหวินเป็นจิ้งจอกเฒ่า เขาเหลือบมองจ้าวโส่วแล้วพยายามพูดลองเชิง

“น่าจะมีอะไรอย่างอื่นแอบแฝง”

จ้าวโส่วพูดอย่างใจเย็น

“นั่นย่อมเป็นความจริง อันที่จริง มีการปิดผนึกวิญญาณอาวุธของดาบสลักไว้ตลอดเวลาและยังเป็นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเองที่เป็นผู้ปิดผนึกไว้”

ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าวิญญาณอาวุธของดาบสลักถูกปิดผนึกไว้ พวกเขาสงสัยว่าใครกันที่สามารถปิดผนึกอาวุธเวทมนตร์ระดับสุดยอดนั้นได้ ทันใดนั้น พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าต้องเป็นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเองที่เป็นผู้ปิดผนึกไว้ ทำให้จู่ๆ ทุกคนก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

สวี่ชีอันประหลาดใจจึงพูดว่า

“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อปิดผนึกดาบสลักไว้เองรึ?!”

นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดน้ำเสียงลุ่มลึก

“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อมีเหตุผลอะไรไยต้องปิดผนึกอาวุธเวทมนตร์ของตนเอง?”

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงดูเคร่งเครียด ต่างตระหนักว่าอาจมีความลับที่น่าตกใจซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

และย่อมเกี่ยวข้องกับความลับของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ

‘อ่า’…เมื่อจ้าวโส่วเห็นว่าทุกคนเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เขาก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาไปที่หยางกงเป็นสัญญาณว่า ‘ช่วยพูดให้ข้าที’

หยางกงมึนงงสับสนจึงส่งสายตากลับไปว่า ‘ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักศึกษา ท่านพูดเองสิ’

เมื่อทั้งสองคนอับจนหนทาง ผู้พิทักษ์หยวนจึงพูดขึ้นช้าๆ

“หัวใจของอาจารย์จ้าวบอกข้าว่า เรื่องน่าอับอายแบบนี้พูดไม่ได้จริงๆ”

“หัวใจของอาจารย์หยางบอกข้าว่า ถ้าข้าพูดออกไป ข้าอาจทำให้นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อและชาวลัทธิขงจื๊อต้องอับอาย…”

หยางกงกับจ้าวโส่วชะงักทันที

‘เรื่องน่าอับอาย นำความอับอายมาสู่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ’…ทุกคนมองตาเหนือมนุษย์ลัทธิขงจื๊อทั้งสองคนและเริ่มซุบซิบกันทันที

ทันใดนั้น พวกเขาก็หยุดคิดทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ความโกลาหลขยายวง – เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้พิทักษ์หยวนแทงพวกเขาข้างหลัง

“อะแฮ่ม!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ จ้าวโส่วจึงกระแอมไอและเมื่ออับจนหนทางไร้ที่ไปทางอื่นจึงกัดฟันพูดว่า

“เรื่องนี้บันทึกไว้ในเรียงความของรองปราชญ์เอกว่า ทุกครั้งที่อาจารย์ข้าเขียนหนังสือ ดาบกลับไม่ต้องการเขียน จากนั้นเมื่อท่านเริ่มเขียนหนังสืออีกครั้ง ดาบก็ไม่ยินยอมอีกครั้ง มันต้องการสั่งสอนอาจารย์ข้า เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจารย์ข้าจึงปิดผนึกมันไว้”

อะไรนะ? ดาบสลักต้องการสั่งสอนนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อให้เขียนหนังสือรึ? นี่คือตำนานของพู่กันที่ปีกกล้าขาแข็งอยากจะเขียนหนังสือด้วยตัวเองงั้นสิ…ถ้าตอนที่ข้าเรียนหนังสือ พู่กันในมือข้าเข้าใจเรื่องที่เขียน ข้าก็คงตื่นขึ้นมาหัวเราะทั้งที่ยังฝันอยู่…สวี่ชีอันเกือบเอามือปิดปากหัวเราะออกมาดังๆ อยู่แล้ว

เขากวาดตามองคนอื่น

เว่ยเยวียนหยิบถ้วยชาขึ้นมาและก้มหน้าดื่มชาอย่างจริงจัง ซ่อนสีหน้าของเขาไว้ไม่ให้ใครเห็น

นักบวชเต๋าจินเหลียนแสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์รอบตัว

หวางเจินเหวินตกตะลึง รู้สึกราวกับว่าศรัทธาในใจของเขาถูกบิดเบือนและทัศนคติที่มีต่อชีวิตตัวเองพังทลาย

หลี่หลิงซู่เล็งกระบี่บินไปที่คอผู้พิทักษ์หยวน

คนอื่นๆ ล้วนมีท่าทางการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาทั้งหมดพยายามสุดกำลังที่จะสงบสติอารมณ์ไว้

แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ไม่เข้าใจ หลงถูกับลี่น่าผู้เป็นลูกสาวดูสับสน

“เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรตลกเลย” หลี่หลิงซู่พูดอย่างจริงจัง

“ดูเหมือนว่าคงหมดหวังกับดาบสลักแล้ว”

สวี่ชีอันพูดได้ถูกเวลาจริงๆ หลังจากจ้าวโส่วกับหยางกงคลายความลำบากใจลงแล้ว เขาก็ถามว่า

“แล้วมงกุฎขงจื๊อล่ะ? มงกุฎขงจื๊อคงไม่มาสอนรองปราชญ์เอกให้สวมหมวกเป็นแน่…”

“อุ๊บ…” หลี่เมี่ยวเจินอดไม่ได้ต้องหัวร่อออกมาดังๆ

“ขอโทษ ขอโทษ!” จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินโบกไม้โบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จ้าวโส่วไม่แยแสหลี่เมี่ยวเจิน ทว่าพูดอย่างเสียไม่ได้ว่า

“มงกุฎขงจื๊อพูดไม่ได้ พูดตรงๆ ก็คือ มงกุฎขงจื๊อไม่ชอบพูด”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” สวี่ชีอันถามในสิ่งที่ทุกคนสงสัย

หยางกงตอบคำถามแทนจ้าวโส่ว

“เจ้าควรรู้ว่าปัญญาชนอ่านหนังสือสี่เล่มและเรียนศิลปะหกเล่ม แม้ว่าเรื่องที่พวกเขาเรียนรู้จะกว้าง แต่พวกเขาก็ต้องมีความรู้ที่เป็นหลักยึดของตัวเอง”

เขารู้เรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เอ้อร์หลางเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม

ดูผิวเผินแล้ว เอ้อร์หลางเป็นปัญญาชนผู้มากมารยาท ยุติธรรมและซื่อสัตย์ ทว่ากลับมีเรื่องซ่อนเร้นมากมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งที่เขาไปพักค้างคืนในสำนักสังคีตกับเหล่านางคณิกา เอ้อร์หลางกลับไม่ขมวดคิ้วด้วยซ้ำตอนเขามาถึงบ้านและกำจัดกลิ่นส้มเขียวหวานออกไป

เขาเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงครามและศิลปะแห่งการทำให้ศัตรูสับสนยิ่งนัก

หยางกงดึงไม้บรรทัดออกจากแขนเสื้อแล้วพูดว่า

“ข้าสั่งสอนให้ความรู้แก่ผู้คนมายี่สิบปีแล้ว มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลก แม้ข้าจะศึกษาคัมภีร์กวี แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้ากลับอ่านคัมภีร์สามอักษรบ่อยครั้งที่สุด ดังนั้น ไม้บรรทัดอันนี้จึงเป็นเช่นนี้”

“เรื่องนี้จึงเป็นความผิดของบิดาที่สั่งสอนลูกไม่ดีและเป็นความเกียจคร้านของอาจารย์ที่ไม่สั่งสอนศิษย์อย่างเคร่งครัด”

ทันทีที่เขาพูดจบ ไม้บรรทัดก็ส่งแสงแจ่มชัดพร้อมจะเคลื่อนไหว

‘เห็นหรือไม่ คุณธรรมย่อมเป็นเช่นนี้’…หยางกงอดไม่ได้ต้องส่ายหัว

จู่ๆ อาซูหลัวก็พูดขึ้นว่า

“ดังนั้น มงกุฎขงจื๊อแห่งรองปราชญ์เอกในสังกัดนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ลัทธิขงจื๊อของท่านก็…”

จ้าวโส่วถอนหายใจ

“รองปราชญ์เอกเป็นคนช่างพูดยิ่งนักเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขามักก่อปัญหาด้วยการแลกเปลี่ยนที่ตื้นเขินจนเกิดเรื่องยุ่งเหยิง เขามักถูกนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อตำหนิและรองปราชญ์เอกเองก็คงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม ดังนั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงมอบสมุดคัดลายมือซึ่งมีชื่อว่า สุภาพบุรุษ ระวังคำพูด! ให้เขา”

“รองปราชญ์เอกอยู่กับข้าทุกวัน ขณะนั้นเองมงกุฎขงจื๊อก็บังเกิดมีจิตสำนึกขึ้น”

“นับตั้งแต่บังเกิดจิตสำนึกขึ้นก็ไม่พูดอะไรสักคำ”

ไม่แปลกใจเลยที่ดาบสลักกับมงกุฎขงจื๊อไม่เคยคุยกับข้า อย่างหนึ่งพูดไม่ได้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็ไม่ชอบพูด…สวี่ชีอันถอนหายใจและพูดว่า

“มีวิธีใดที่จะทำลายผนึกของดาบสลักหรือทำให้มงกุฎขงจื๊อพูดได้?”

จ้าวโส่วส่ายหัว

“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเป็นผู้ปิดผนึกดาบสลักไว้ มีเพียงสองวิธีที่จะปลดผนึกได้ วิธีแรก รอให้ข้าเลื่อนไปสู่ขั้นสองก่อน อย่ากังวลเลย ผนึกที่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อวางไว้บนตัวดาบสลักไม่ได้มีพลังเทียบเท่าผนึกของระดับสุดยอดแน่นอน”

“จริงๆ แล้ว รองปราชญ์เอกก็สามารถทำลายผนึกได้ แต่เขาไม่กล้าต่อต้านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ในตอนนั้นเขาจึงไม่เคยปลดผนึกดาบสลักเลย”

“เมื่อข้าเลื่อนไปสู่ขั้นสอง จะได้ความช่วยเหลือระยะยาวจากร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมในเขาชิงอวิ๋นผนวกรวมเข้ากับพลังของมงกุฎขงจื๊อ จากนั้นเมื่อ ‘รวมภายในกับภายนอก’ ด้วยดาบสลัก ข้าก็น่าจะปลดผนึกได้”

“วิธีที่สอง ให้ท่านโหราจารย์ช่วยเหลือ”

“ท่านโหราจารย์เป็นโหรขั้นหนึ่งและเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ข้ารู้ว่าเขาย่อมมีวิธีเลี่ยงผนึกและสื่อสารกับดาบสลักได้

“ส่วนการจะให้มงกุฎขงจื๊อพูด…อาวุธเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊อยึดติดความคิดเป็นของตัวเอง การขอให้พูดย่อมยากกว่าการหักหาญทำลายมัน”

ทั้งสองวิธีไม่มีวิธีใดเลยที่จะประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน

ในขณะนี้ไม่สามารถคาดหวังกับนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อได้ และแล้วตอนนี้การประชุมก็มาถึงทางตัน

ในตอนนี้ จู่ๆ อาจารย์โค่วก็พูดว่า

“อย่างนั้นก็แสดงว่า ท่านโหราจารย์รู้วิธีเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์จากดาบสลักจริงๆ แสดงว่าเขาก็สนับสนุนให้สวี่ชีอันได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์มิใช่หรือ?”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ตาเป็นประกาย

นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีจริงๆ และมีความเป็นไปได้สูงมาก

ในความเป็นจริง ทุกคนรู้สึกว่า ลึกๆ แล้วนี่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านโหราจารย์วางแผนไว้

เมื่อรู้เช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้วิธีง่ายๆ ในการฝ่าฟันอุปสรรคครั้งที่สอง…ท่านโหราจารย์!

“ถ้าอยากรู้ว่าจุดประสงค์ของคนผู้หนึ่งคืออะไร เจ้าต้องดูว่าเขาทำอะไรไว้ในอดีต”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องโถง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็หันกลับหลังและมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง แต่หาไม่พบ

จากนั้น ป๋าจี้ หัวหน้าเผ่าตู๋กู่ก็โผล่ออกมาจากเงาใต้โต๊ะกาแฟ จากนั้นเงามืดก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นชายสวมเสื้อคลุม ใบหน้าครึ่งบนมีหมวกคลุม ใบหน้าครึ่งล่างดูซีดขาวเนื่องจากทั้งปีทั้งชาติไม่เคยต้องแสงแดด

“ขออภัยด้วย ข้าคุ้นเคยเช่นนี้ ข้าเลยอดรนทนไม่ได้”

เขาอดไม่ได้ต้องซ่อนตัวอยู่พักหนึ่ง

ร่างเงาขอโทษอย่างจริงใจ กลับไปนั่งที่และพูดต่อ

“ท่านโหราจารย์สนับสนุนฆ้องเงินสวี่ และจุดประสงค์ที่เขาสนับสนุนให้ได้เป็นเทพยุทธ์นั้นเป็นเรื่องที่รู้กันดี ดังนั้นในกระบวนการนี้ เขาจึงต้องทำให้ฆ้องเงินสวี่มีคุณสมบัติพอที่จะกลายเป็นเทพยุทธ์ได้ก่อน”

“ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฆ้องเงินสวี่ผู้เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวจากชายแดนตอนใต้แตกต่างออกไป”

“โชคชะตา!” แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดช้าๆ

“ยังมีดาบไท่ผิงด้วย” สวี่ชีอันพูดเสริม

ในคืนหลังจากที่มีชัยเหนือพระพุทธเจ้าแล้ว เขาก็กลับเมืองหลวง และเล่ารายละเอียดถึงเรื่องต่างๆ ที่ได้ประสบพบเจอหลังออกทะเล

นักบวชเต๋าจินเหลียนลูบเคราตัวเองและวิเคราะห์

“ท่านโหราจารย์บอกว่านี่คือใบรับรองของเจ้าในการขึ้นเป็นผู้เฝ้าประตู แต่ไม่ใช่ของเทพยุทธ์ อาตมารู้สึกว่ากุญแจไม่ใช่ดาบไท่ผิง แต่เป็นโชคชะตา”

ถ้าเช่นนั้นการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ต้องใช้โชคชะตางั้นรึ?

ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยปากถาม

“เทพยุทธ์จะเอาโชคชะตาไปเพื่ออะไร มันไม่สามารถแทนที่วิถีแห่งฟ้าได้เหมือนอย่างระดับสุดยอด ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่สวี่หนิงเยี่ยนเปิดใจด้วยค้อนก่อกวนชะตากรรม เขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่สิ ชะตาบ้านเมืองต่างหาก เรื่องนี้เป็นแค่วิธีทำให้เขาเป็นโหรหลอมปราณเท่านั้นนี่”

พลังในการควบคุมเวไนยสัตว์ทั้งปวง

เมื่อไม่มีใครขัดคอ ฉู่หยวนเจิ่นจึงพูดต่อ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง