สรุปตอน บทที่ 906 เครื่องควบคุมโชคชะตา – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
ตอน บทที่ 906 เครื่องควบคุมโชคชะตา ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 906 เครื่องควบคุมโชคชะตา
……….
หมายเลขสี่ ‘เทพพ่อมดถือกำเนิดแล้ว’
พระราชวัง ในห้องทรงพระอักษร ฮว๋ายชิ่งถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมือ ปลายนิ้วชาหนึบเล็กน้อย
แม้ว่าจะเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อเห็นข้อความของฉู่หยวนเจิ่น หัวใจของนางก็ค่อยๆ จมลงสู่ก้นบึ้งช้าๆ แขนขารู้สึกเย็นยะเยือก อารมณ์มองโลกในแง่ร้าย ความหวาดกลัว และความสิ้นหวังล้วนปรากฏออกมา
สถานการณ์การรบที่เหลยโจวดุเดือดยิ่ง เดิมก็พอจะถือว่ายื้อต่อไปได้ แต่สถานการณ์นอกทะเลกลับอันตรายยิ่งกว่า สวี่ชีอันไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย และตอนนี้ต้าฟ่งจะเอาอะไรไปต่อต้านเทพพ่อมดได้เล่า?
ในที่สุดเทพพ่อมดก็หลุดออกจากผนึก สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ได้ประโยชน์ครั้งใหญ่ไปเสียอย่างนั้น เหมือนนกปากซ่อมกับหอยต่อสู้กัน แต่ชาวประมงได้รับผลประโยชน์[1]
เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดนั้นมีความสัมพันธ์แบบแก่งแย่งชิงดีกัน แต่อย่าคิดจะใช้กฎเกณฑ์เรื่องศัตรูของศัตรูคือมิตร แล้วนำเรื่องนี้มาเกลี้ยกล่อมให้พระพุทธเจ้ายอมถอยเด็ดขาด ความจริงแล้วผู้อยู่เหนือสามัญของต้าฟ่งสามารถย้ายไปที่ตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อต้านทานเทพพ่อมดได้ แต่นี่ก็เป็นแค่การรื้อกำแพงตะวันออกเพื่อเสริมกำแพงตะวันตกเท่านั้น
เมื่อถึงเวลานั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็คือพระพุทธเจ้าบุกมาทางตะวันออกด้วยพลังอำนาจล้นหลาม สถานการณ์ย่อมไม่มีทางดีขึ้นได้
“ส่งคนไปบอกสำนักราชเลขาธิการกับที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึงแล้ว!”
เนิ่นนาน ฮว๋ายชิ่งมองไปยังขันทีรับใช้ใต้บัญชาแล้วเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราวกับเครื่องยนต์กลไก
‘ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึงแล้ว…’ สีหน้าของขันทีรับใช้ซีดขาวราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็ง ร่างกายค่อยๆ สั่นเทา เขายกแขนที่สั่นระริกขึ้นแล้วทำความเคารพเงียบๆ ก่อนจะถอยออกมา
…
หอสมุดหลวง
ณ ตำหนักเสนาบดี เหล่าปราชญ์มหาสำนักทั้งเฉียนชิงซูและหวางเจินเหวินต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะ ชายชราผมสีดอกเลาอย่างพวกเขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม สีหน้าเคร่งเครียดจนทำเอาบรรยากาศภายในห้องเคร่งเครียดตามไปด้วย
ขันทีรับใช้มองพวกเขาก่อนจะเอ่ยพูดด้วยท่าทางลังเล
ความหมายที่แท้จริงของเขาคือ ต้าฟ่งยังมีทางรอดอยู่หรือไม่?
สาเหตุที่เขาไม่ได้ถามฮว๋ายชิ่งแต่มาถามเหล่าปราชญ์มหาสำนักเหล่านี้แทน หนึ่งก็เพราะไม่กล้าล่วงเกินองค์จักรพรรดินี และสองคืออาจจะไม่ได้รับคำตอบ
แน่นอนว่าเขาคือคนสนิทของจักรพรรดินี ในที่ประชุมผู้อยู่เหนือสามัญหลายครั้งก่อนหน้านี้ ขันทีกุมตราลัญจกรล้วนฟังอยู่ด้านข้างตลอด จึงรู้สถานการณ์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงเข้าใจถึงวิกฤตของสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง
เฉียนชิงซูที่กำลังวิตกกังวลได้ยินดังนั้นก็อดที่จะเอ่ยดุเขาไม่ได้ แต่หวางเจินเหวินที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นเสียก่อน
“รอให้ฆ้องเงินสวี่กลับมา วิกฤติก็ย่อมคลี่คลายไปเอง”
สีหน้าของเขาแน่วแน่ น้ำเสียงก็สงบนิ่ง ถึงแม้หน้าตาจะยังดูเคร่งเครียด แต่ก็ไม่มีความตื่นตระหนกหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด
เมื่อเห็นดังนั้น ขันทีกุมตราลัญจกรก็เริ่มวางใจและเอ่ยยิ้มๆ เป็นการเคารพ
“ข้ายังต้องไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอีก เช่นนั้นขอตัวลาทุกท่าน”
ตอนที่เขาโค้งตัวทำความเคารพนั้น สิ่งที่คิดอยู่ในหัวคือความสำเร็จและการกระทำในอดีตของฆ้องเงินสวี่ รวมถึงคุณสมบัติเทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่ว่ากันว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จอมยุทธ์ของภาคกลาง
ความมั่นใจเริ่มมั่นคงขึ้นมาเพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกร้อนรนอีกต่อไป
หวางเจินเหวินมองส่งเขาจากไปแล้ว ในที่สุดก็ก้มหน้าลงแล้วนวดหว่างคิ้วด้วยท่าทางเหนื่อยล้าก่อนเอ่ยว่า
“แม้จะไม่มีทางหลีกหนีภัยพิบัติได้ แต่ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายจะมาถึง ข้าก็หวังว่าเมืองหลวงและเมืองต่างๆ จะยังมีเสถียรภาพมั่นคงอยู่”
และข้อกำหนดเบื้องต้นของการมีเสถียรภาพมั่นคง คือ จิตใจของผู้คนจะต้องมั่นคงเสียก่อน
จ้าวถิงฟางเอ่ยพูดด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด
“คนสนิทข้างกายของฝ่าบาทล้วนแต่เชื่อมั่นในตัวฆ้องเงินสวี่ แล้วนับประสาอะไรกับชาวบ้านตาดำๆ เมื่อพวกเราไม่ตระหนก เมืองหลวงก็ย่อมไม่ตื่นตระหนก”
การล้างไพ่รอบใหม่หลังจากองค์จักรพรรดินีขึ้นครองบัลลังก์นั้นทำให้ปราชญ์มหาสำนักระดับสูงหรือพวกที่เหลืออยู่มีบุคลิกสูงส่งสง่างาม อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาเรื่องจรรยาบรรณส่วนตัว อีกทั้งพวกเขาล้วนคลุกคลีอยู่ในการเมืองอย่างล้ำลึกและมีแผนการในใจเสมอ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ จึงยังรักษาความเยือกเย็นได้ในระดับหนึ่ง
หากเปลี่ยนเป็นในช่วงจักรพรรดิหยวนจิ่ง เวลานี้ทั้งราชสำนักคงจะตกอยู่ในความวุ่นวาย จิตใจของผู้คนก็คงจะตื่นตระหนกกันหมดแล้ว
หวางเจินเหวินเอ่ยว่า
“ใช้ข้ออ้างว่าต้องตรวจสอบรายละเอียดของฝั่งดินแดนประจิมทิศแล้วปิดประตูเมือง ทำให้ทั้งโรงเตี๊ยม โรงสุรา หรือสถานที่เช่นหอนางโลมว่างเปล่าไร้ลูกค้าเสีย จากนั้นจำกัดเวลายามวิกาลเพื่อยับยั้งไม่ให้ข่าวลือแพร่กระจาย”
บุคคลที่รู้เรื่องภัยพิบัติใหญ่นั้นมีไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย การรั่วไหลของข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ดังนั้นมาตรการเช่นนี้จึงเป็นการป้องกันการแพร่กระจายข้อมูลจนทำให้เกิดความตื่นตระหนก
ส่วนที่ทำการปกครองสมุหเทศาภิบาลของแต่ละมณฑลนั้นได้รับสารลับจากราชสำนักล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะที่ทำการปกครองสมุหเทศาภิบาลประจำมณฑลใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้กับดินแดนประจิมทิศและทางตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงที่ว่าการท้องถิ่นของเมืองต่างๆ ภายใต้การปกครองด้วย
คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือ เมื่อมีสัญญาณควัน จงรีบอพยพ
ร้อยครัวเรือนต่อหนึ่งหมู่บ้าน สิบหมู่บ้านต่อหนึ่งตำบล สิบตำบลต่อหนึ่งเทศบาล โดยให้ผู้ใหญ่บ้าน นายตำบล และหัวหน้าเทศบาลรับผิดชอบชาวบ้านภายใต้เขตอำนาจของตนเอง และให้ที่ว่าการมณฑลดูแลจัดการโดยรวมอีกที
แน่นอนว่า สถานการณ์จริงย่อมต้องซับซ้อนยุ่งยากยิ่งกว่านี้ ชาวบ้านอาจจะไม่ยอมอพยพ ขุนนางต่างๆ ก็อาจจะไม่รับผิดชอบงานของตนเองเมื่อภัยพิบัติใหญ่มาถึง
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
สำหรับราชสำนักแล้ว สามารถช่วยได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น
เฉียนชิงซูเอ่ยเสียงเบา
“ทำให้ดีที่สุด แล้วแต่ฟ้าลิขิต”
ได้ยินดังนั้น ปราชญ์มหาสำนักทั้งหลายก็พร้อมใจมองไปทางทิศใต้ ไม่ใช่ทางเหนือที่เทพพ่อมดกำลังกวาดต้อนลงมา
…
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หนานกงเชี่ยนโหรวแขวนดาบไว้ที่เอวและเดินดุ่มๆ ไปยังหอเฮ่าชี่ด้วยจิตใจอันร้อนรน ก่อนจะพบว่าเว่ยเยวียนไม่ได้อยู่ในห้องน้ำชา
ทำให้เขาต้องกลืนคำพูดประเภทที่ว่า ‘ท่านพ่อบุญธรรม จะทำอย่างไรดี’ กลับไป หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง หนานกงเชี่ยนโหรวก็ก้าวยาวๆ ไปยังหอสังเกตการณ์ที่อยู่ทางซ้ายของห้องน้ำชาแล้วมองไปทางพระราชวัง
ตำหนักเฟิ่งฉี
ไทเฮาทรงที่ทรงมีพระอารมณ์ไม่เลวนักกำลังประทับอยู่บนตั่งนอน พลางถือหนังสืออ่านเล่นโดยมีชาดอกไม้และขนมวางอยู่บนโต๊ะชาด้านหน้า
ภายในห้องอันอบอุ่นดั่งอยู่ในฤดูวสันต์ ไทเฮาทรงสวมชุดชาววังสีสันสดใส พระขนงปัดโค้งบางเบาและมีพระพักตร์งามล่มเมืองที่แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัย
พระนางวางหนังสือในมือลง เมื่อเตรียมจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มก็พลันพบว่าข้างนอกมีเงาร่างของคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาสวมชุดคลุมสีกรมท่า จอนผมสองข้างเป็นสีขาว และมีใบหน้าหล่อเหลาองอาจ
“เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
พระพักตร์ของไทเฮาแต้มรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ปกติเว่ยเยวียนจะไม่ค่อยมาเยือนตำหนักเฟิ่งฉีในยามเช้าตรู่ เว้นแต่จะเป็นวันหยุด
“ว่างงานพอดีพ่ะย่ะค่ะ!”
เว่ยเยวียนเดินเข้ามานั่งที่ตั่งแล้วจับพระหัตถ์ของไทเฮา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า
“เพียงอยากอยู่กับท่านพักหนึ่ง”
ไทเฮาขมวดพระขนง จากนั้นก็คลายออกก่อนจะปรับท่านั่งแล้วซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาพร้อมเอ่ยพึมพำ ‘อืม’
ทั้งคู่ดื่มชากันเงียบๆ อย่างรู้ใจ พลางอ่านหนังสือและบางครั้งก็พูดคุยเรื่อยเปื่อย เพลิดเพลินกับช่วงเวลาอันแสนสงบสุขนี้ด้วยกัน
ซึ่งนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแล้วก็เป็นได้
…
เหลยโจว
วัตถุโลหิตเนื้อสีแดงชาดราวกับเป็นอุทกภัยทำลายโลก มันท่วมท้นไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน ภูเขาลำธาร และแม่น้ำลำห้วย
ร่างธรรมแห่งความมืดของเสินซูถอยร่นติดๆ กัน ต่อสู้กันมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขากับยอดฝีมือเหนือสามัญของฝั่งต้าฟ่งต่างก็ถอยมาเรื่อยๆ เกือบร้อยลี้แล้ว
แม้ว่าสิ้นหวังยิ่งนัก เพราะในด้านต้านทานการโจมตี พวกเขาล้วนทำได้เพียงลดความเร็วที่พระพุทธเจ้าจะกลืนกินเหลยโจวเท่านั้น ไม่อาจหยุดยั้งได้เลย
ถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือจากยอดฝีมือระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เรื่องที่เหลยโจวจะแตกนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
‘หากจำไม่ผิด หากถอยต่อไปอีกเจ็ดสิบลี้ก็จะเป็นส่วนของเมือง ชาวบ้านในเมืองไม่รู้ว่าอพยพไปแล้วหรือยัง ไม่สิ ไม่มีทางที่ทุกคนจะออกไปหมดได้…’ หลี่เมี่ยวเจินกวาดตามองอาซูหลัวและโค่วหยางโจวที่สู้เป็นสู้ตายกับเจียหลัวซู่
กวาดตามองจ้าวโส่วและคนอื่นๆ ที่ช่วยเสริมพลังให้เสินซู แต่ตนเองกลับวนเวียนอยู่บนปากเหวของความตาย บางคราวก็ยังถูกพระโพธิสัตว์หลิวหลีลอบโจมตีอีกด้วย
กวาดตามองลั่วอวี้เหิงที่มุ่งเป้าไปที่กว่างเสียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ฝ่ายนั้นกลับถูกพระโพธิสัตว์หลิวหลีช่วยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงยังไม่ประสบความสำเร็จสักที
ความร้อนรนกังวลใจผุดขึ้นมาในใจทีละนิดๆ พลางคิดถึงสวี่ชีอันที่ออกทะเลไปโดยไม่รู้ตัว
‘เจ้าจะต้องรอดชีวิตกลับมานะ’…ขณะที่ความคิดบังเกิด ความรู้สึกที่คุ้นเคยก็แล่นเข้ามาครอบงำ
ความคิดภายในใจสั่นไหว หลี่เมี่ยวเจินจึงเรียกชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เพียงเหลือบมองสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที ก่อนพลั้งปากพูดขึ้นว่า
“เทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว”
เสียงของนางไม่ดังนัก แต่กลับทำให้ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันดุเดือดชะงักไป จากนั้นก็แยกย้ายกันโดยปริยาย
ต่อมา อาซูหลัวที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยโลหิตเปียกชุ่มแต่เปี่ยมพลัง นักบวชเต๋าจินเหลียนที่แววตาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด และเหิงหย่วนที่แขนขวาขาดวิ่น ต่างก็พากันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอ่านดู
ข้อความที่ฉู่หยวนเจิ่นหมายเลขสี่ส่งมาแสดงชัดอยู่ในกระจกหยก
สมาชิกพรรคฟ้าดินใจตกไปที่ตาตุ่ม สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียด
และสีหน้าของพวกเขาก็ทำให้พวกผู้อยู่เหนือสามัญอย่างพวกจ้าวโส่วพากันใจดิ่งไปด้วย
เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดที่สุด ก็ยังคงเกิดขึ้น
เทพพ่อมดเลือกหลุดออกจากผนึกในช่วงเวลานี้ ช่วงที่การป้องกันในภาคกลางว่างเปล่าโหรงเหรงที่สุด เขาหลุดออกมาจากผนึกของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว
“เป็นเวลานี้จริงๆ เสียด้วย…”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพูดเสียงพึมพำ
เขาไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ถึงขั้นเดาได้แล้วว่าผู้อยู่เหนือระดับท่านนี้จะหลุดออกจากผนึกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี่เอง ส่วนเหตุผลนั้นง่ายยิ่ง เพราะพ่อมดขั้นหกคือผู้ทำนายและเทพพ่อมดก็มีความสามารถที่จะคว้าโอกาสนี้ได้
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนประนมมือสวดนามพระพุทธเจ้า สีหน้าประดับรอยยิ้ม
การกระแทกเมื่อครู่นี้คือการช่วยชีวิตตัวเองโดยใช้พลังของหยกสลาย
ส่วนที่ว่าเหตุใดต้องกระแทกไปที่เทพเจ้ากู่ไม่ใช่ฮวงนั้น ย่อมเป็นเพราะเมื่อต้องเลือกระหว่างสองอย่าง ให้เลือกผลลัพธ์ที่ร้ายแรงน้อยกว่า
เทพเจ้ากู่และฮวงอยู่เหนือระดับขั้น แต่ทั้งคู่มีแก่นแท้ที่แตกต่างกัน เทพเจ้ากู่มีวิชาเจ็ดยอดกู่ มีวิธีการหลากหลาย อลังการงานสร้างยิ่งกว่า ทั้งยังจัดการได้ยากกว่าด้วย
แต่กลับกัน พลังการสังหารของเขาก็จะอ่อนลง
ส่วนฮวงนั้นทั่วทั้งร่างล้วนเป็นพลังวิเศษฟ้าประทาน คุณสมบัติดั่งกระบี่วิถีใหม่เช่นนี้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดแล้ว
ต่อให้ตอนนี้สวี่ชีอันจะเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถรอดชีวิตภายใต้พลังวิเศษฟ้าประทานของผู้อยู่เหนือระดับอย่างฮวงได้
เขาคว้าเจ็ดยอดกู่ที่ด้านหลังคอแล้วกระชากดึงมันออกมาพร้อมเลือดเนื้อทั้งเป็น เดิมทีคิดจะบดขยี้มันให้แหลกทันที แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิดและตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น หลังจากระงับสติปัญญาภายในร่างหนอนของมันแล้ว เขาก็ทุ่มพลังปราณลงไปเพื่อปิดผนึก
เมื่อไม่มีเจ็ดยอดกู่ เขาก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งกร้าวได้อีกครั้ง…ขณะที่รู้สึกเสียใจ สวี่ชีอันก็ดึงเจ็ดยอดกู่ออกมาแล้วโยนเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีส่งๆ
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็หนังศีรษะชาและเกิดสัญชาตญาณต่อวิกฤติแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สัญญาณเตือนจากโชคชะตา!
เขารู้ถึงสาเหตุได้โดยธรรมชาติ นั่นก็เพราะเทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว เขารับมือทางนี้อย่างยากลำบากโดยที่ยังคิดหาวิธีช่วยเหลือท่านโหราจารย์ไม่ได้ ส่วนทางด้านแผ่นดินจิ่วโจว เทพพ่อมดกลับทลายผนึกออกมาเสียอย่างนั้น
…
“เทพสวรรค์ ศิษย์ขอร้องท่านล่ะ ได้โปรดยื่นมือช่วยเหลือต้าฟ่งด้วย”
ใต้ซุ้มประตูของนิกายสวรรค์ เสียงของหลี่หลิงซู่ร้องตะโกนจนแหบแห้ง ทว่าก็ไม่มีใครตอบกลับ
“หยุดร้องได้แล้ว”
เสียงถอนหายใจดังมาจากด้านบน
หลี่หลิงซู่เงยหน้าขึ้นมอง ผู้มานั้นคือท่านอาจารย์ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง
เขาราวกับคว้าจับความหวังได้แล้ว จึงเอ่ยอย่างร้อนใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านรีบขอให้เทพสวรรค์ยื่นมือช่วยเหลือเร็วเข้าเถิด ภัยพิบัติใหญ่ครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย ถ้าเขาไม่ยื่นมือช่วยจะเสียใจภายหลังได้”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ข้าไม่อาจบังคับความคิดของเทพสวรรค์ได้ ในเมื่อท่านเทพสวรรค์บอกให้ปิดภูเขา ก็ย่อมไม่ยื่นมือช่วยใดๆ ทั้งนั้น เจ้ามาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์
พูดจบ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกก็หันกายจากไปและไม่เหลือบมองลูกศิษย์อีก
ขณะที่หลี่หลิงซู่กำลังจะตะโกนร้องเรียกอาจารย์ ทันใดนั้นความรู้สึกอันคุ้นเคยก็ถาโถมมา เขารีบควักชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอ่านทันใด
หมายเลขสี่ งเทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว’
เทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว…หลี่หลิงซู่นิ่งสนิทดั่งท่อนไม้ สีหน้างงงัน ก่อนจะค่อยๆ ซีดเผือด ทันใดนั้น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็ปูดโปนขึ้น กล้ามเนื้อที่ร่องแก้มสั่นระริก มือที่ถือหนังสือปฐพีอยู่กำแน่นจนเห็นเส้นเลือด
…
พระราชวัง
ฮว๋ายชิ่งผู้สวมมงกุฎมาลาและฉลองพระองค์มังกรยืนอยู่ริมทะเลสาบ พลางมองสบตากับมังกรวิญญาณในทะเลสาบเงียบๆ
สัตว์มงคลในทะเลสาบรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ดวงตาดำสนิทดุจเม็ดกระดุมมองไปที่จักรพรรดินี ในนั้นมีทั้งความระมัดระวัง ไม่เป็นมิตร และอ้อนวอนขอ
“รวบรวมโชคชะตาแทนเรา” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงเบา
มังกรวิญญาณที่ยื่นหัวขึ้นมาจากผิวทะเลสาบส่ายหน้าอย่างแรง มันร้องคำรามน่าเกรงขาม ราวกับจะข่มขู่จักรพรรดินี
แต่ฮว๋ายชิ่งเพียงแค่มองสบตามันอย่างเยือกเย็นแล้วเอ่ยย้ำคำพูดเมื่อกี้ด้วยความเย็นชา
“รวบรวมโชคชะตาแทนเรา”
‘โฮก!’
มังกรวิญญาณยกหางยาวขึ้นแล้วตบลงบนผิวทะเลสาบแทนการระบายอารมณ์ จนเกิดคลื่นใหญ่ยักษ์พวยพุ่งขึ้นฟ้า
หลังจากคำรามอย่างเกรี้ยวกราดเพราะทำอะไรไม่ได้อยู่พักหนึ่ง มันก็ยืดตัวตรงจนสูงใหญ่และอ้าปากเรียวยาวออก
ปราณสีม่วงหลายสายพวยพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าแล้วเข้าไปในปากของมังกรวิญญาณ ปราณสีม่วงมีองค์ประกอบลึกลับเสียยิ่งกว่าลึกลับ ซึ่งตาเปล่าของฮว๋ายชิ่งไม่อาจมองเห็นได้ แต่นางสามารถสัมผัสได้ว่านั่นคือโชคชะตา!
มังกรวิญญาณกำลังกลืนกินโชคชะตาอยู่ นี่คือพลังวิเศษฟ้าประทานของ ‘เครื่องควบคุมโชคชะตา’
………………………………………………………
[1] นกปากซ่อมกับหอยต่อสู้กัน แต่ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ (鹬蚌相争,渔翁得利) หมายถึง สองฝ่ายทะเลาะกันโดยใช้อารมณ์ จนปล่อยให้มือที่สามได้รับประโยชน์ไปอย่างง่ายดาย
[2] ฟ้าดินไร้ปรานีที่มองสรรพชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง (天地无情以万物为刍狗) หมายถึง ธรรมชาติล้วนกระทำต่อทุกชีวิตด้วยความเท่าเทียมตามกฎของชีวิต
……….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...