บทที่ 906 เครื่องควบคุมโชคชะตา
……….
หมายเลขสี่ ‘เทพพ่อมดถือกำเนิดแล้ว’
พระราชวัง ในห้องทรงพระอักษร ฮว๋ายชิ่งถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมือ ปลายนิ้วชาหนึบเล็กน้อย
แม้ว่าจะเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อเห็นข้อความของฉู่หยวนเจิ่น หัวใจของนางก็ค่อยๆ จมลงสู่ก้นบึ้งช้าๆ แขนขารู้สึกเย็นยะเยือก อารมณ์มองโลกในแง่ร้าย ความหวาดกลัว และความสิ้นหวังล้วนปรากฏออกมา
สถานการณ์การรบที่เหลยโจวดุเดือดยิ่ง เดิมก็พอจะถือว่ายื้อต่อไปได้ แต่สถานการณ์นอกทะเลกลับอันตรายยิ่งกว่า สวี่ชีอันไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย และตอนนี้ต้าฟ่งจะเอาอะไรไปต่อต้านเทพพ่อมดได้เล่า?
ในที่สุดเทพพ่อมดก็หลุดออกจากผนึก สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ได้ประโยชน์ครั้งใหญ่ไปเสียอย่างนั้น เหมือนนกปากซ่อมกับหอยต่อสู้กัน แต่ชาวประมงได้รับผลประโยชน์[1]
เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดนั้นมีความสัมพันธ์แบบแก่งแย่งชิงดีกัน แต่อย่าคิดจะใช้กฎเกณฑ์เรื่องศัตรูของศัตรูคือมิตร แล้วนำเรื่องนี้มาเกลี้ยกล่อมให้พระพุทธเจ้ายอมถอยเด็ดขาด ความจริงแล้วผู้อยู่เหนือสามัญของต้าฟ่งสามารถย้ายไปที่ตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อต้านทานเทพพ่อมดได้ แต่นี่ก็เป็นแค่การรื้อกำแพงตะวันออกเพื่อเสริมกำแพงตะวันตกเท่านั้น
เมื่อถึงเวลานั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็คือพระพุทธเจ้าบุกมาทางตะวันออกด้วยพลังอำนาจล้นหลาม สถานการณ์ย่อมไม่มีทางดีขึ้นได้
“ส่งคนไปบอกสำนักราชเลขาธิการกับที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึงแล้ว!”
เนิ่นนาน ฮว๋ายชิ่งมองไปยังขันทีรับใช้ใต้บัญชาแล้วเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราวกับเครื่องยนต์กลไก
‘ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึงแล้ว…’ สีหน้าของขันทีรับใช้ซีดขาวราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็ง ร่างกายค่อยๆ สั่นเทา เขายกแขนที่สั่นระริกขึ้นแล้วทำความเคารพเงียบๆ ก่อนจะถอยออกมา
…
หอสมุดหลวง
ณ ตำหนักเสนาบดี เหล่าปราชญ์มหาสำนักทั้งเฉียนชิงซูและหวางเจินเหวินต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะ ชายชราผมสีดอกเลาอย่างพวกเขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม สีหน้าเคร่งเครียดจนทำเอาบรรยากาศภายในห้องเคร่งเครียดตามไปด้วย
ขันทีรับใช้มองพวกเขาก่อนจะเอ่ยพูดด้วยท่าทางลังเล
ความหมายที่แท้จริงของเขาคือ ต้าฟ่งยังมีทางรอดอยู่หรือไม่?
สาเหตุที่เขาไม่ได้ถามฮว๋ายชิ่งแต่มาถามเหล่าปราชญ์มหาสำนักเหล่านี้แทน หนึ่งก็เพราะไม่กล้าล่วงเกินองค์จักรพรรดินี และสองคืออาจจะไม่ได้รับคำตอบ
แน่นอนว่าเขาคือคนสนิทของจักรพรรดินี ในที่ประชุมผู้อยู่เหนือสามัญหลายครั้งก่อนหน้านี้ ขันทีกุมตราลัญจกรล้วนฟังอยู่ด้านข้างตลอด จึงรู้สถานการณ์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงเข้าใจถึงวิกฤตของสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง
เฉียนชิงซูที่กำลังวิตกกังวลได้ยินดังนั้นก็อดที่จะเอ่ยดุเขาไม่ได้ แต่หวางเจินเหวินที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นเสียก่อน
“รอให้ฆ้องเงินสวี่กลับมา วิกฤติก็ย่อมคลี่คลายไปเอง”
สีหน้าของเขาแน่วแน่ น้ำเสียงก็สงบนิ่ง ถึงแม้หน้าตาจะยังดูเคร่งเครียด แต่ก็ไม่มีความตื่นตระหนกหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด
เมื่อเห็นดังนั้น ขันทีกุมตราลัญจกรก็เริ่มวางใจและเอ่ยยิ้มๆ เป็นการเคารพ
“ข้ายังต้องไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอีก เช่นนั้นขอตัวลาทุกท่าน”
ตอนที่เขาโค้งตัวทำความเคารพนั้น สิ่งที่คิดอยู่ในหัวคือความสำเร็จและการกระทำในอดีตของฆ้องเงินสวี่ รวมถึงคุณสมบัติเทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่ว่ากันว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จอมยุทธ์ของภาคกลาง
ความมั่นใจเริ่มมั่นคงขึ้นมาเพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกร้อนรนอีกต่อไป
หวางเจินเหวินมองส่งเขาจากไปแล้ว ในที่สุดก็ก้มหน้าลงแล้วนวดหว่างคิ้วด้วยท่าทางเหนื่อยล้าก่อนเอ่ยว่า
“แม้จะไม่มีทางหลีกหนีภัยพิบัติได้ แต่ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายจะมาถึง ข้าก็หวังว่าเมืองหลวงและเมืองต่างๆ จะยังมีเสถียรภาพมั่นคงอยู่”
และข้อกำหนดเบื้องต้นของการมีเสถียรภาพมั่นคง คือ จิตใจของผู้คนจะต้องมั่นคงเสียก่อน
จ้าวถิงฟางเอ่ยพูดด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด
“คนสนิทข้างกายของฝ่าบาทล้วนแต่เชื่อมั่นในตัวฆ้องเงินสวี่ แล้วนับประสาอะไรกับชาวบ้านตาดำๆ เมื่อพวกเราไม่ตระหนก เมืองหลวงก็ย่อมไม่ตื่นตระหนก”
การล้างไพ่รอบใหม่หลังจากองค์จักรพรรดินีขึ้นครองบัลลังก์นั้นทำให้ปราชญ์มหาสำนักระดับสูงหรือพวกที่เหลืออยู่มีบุคลิกสูงส่งสง่างาม อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาเรื่องจรรยาบรรณส่วนตัว อีกทั้งพวกเขาล้วนคลุกคลีอยู่ในการเมืองอย่างล้ำลึกและมีแผนการในใจเสมอ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ จึงยังรักษาความเยือกเย็นได้ในระดับหนึ่ง
หากเปลี่ยนเป็นในช่วงจักรพรรดิหยวนจิ่ง เวลานี้ทั้งราชสำนักคงจะตกอยู่ในความวุ่นวาย จิตใจของผู้คนก็คงจะตื่นตระหนกกันหมดแล้ว
หวางเจินเหวินเอ่ยว่า
“ใช้ข้ออ้างว่าต้องตรวจสอบรายละเอียดของฝั่งดินแดนประจิมทิศแล้วปิดประตูเมือง ทำให้ทั้งโรงเตี๊ยม โรงสุรา หรือสถานที่เช่นหอนางโลมว่างเปล่าไร้ลูกค้าเสีย จากนั้นจำกัดเวลายามวิกาลเพื่อยับยั้งไม่ให้ข่าวลือแพร่กระจาย”
บุคคลที่รู้เรื่องภัยพิบัติใหญ่นั้นมีไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย การรั่วไหลของข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ดังนั้นมาตรการเช่นนี้จึงเป็นการป้องกันการแพร่กระจายข้อมูลจนทำให้เกิดความตื่นตระหนก
ส่วนที่ทำการปกครองสมุหเทศาภิบาลของแต่ละมณฑลนั้นได้รับสารลับจากราชสำนักล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะที่ทำการปกครองสมุหเทศาภิบาลประจำมณฑลใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้กับดินแดนประจิมทิศและทางตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงที่ว่าการท้องถิ่นของเมืองต่างๆ ภายใต้การปกครองด้วย
คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือ เมื่อมีสัญญาณควัน จงรีบอพยพ
ร้อยครัวเรือนต่อหนึ่งหมู่บ้าน สิบหมู่บ้านต่อหนึ่งตำบล สิบตำบลต่อหนึ่งเทศบาล โดยให้ผู้ใหญ่บ้าน นายตำบล และหัวหน้าเทศบาลรับผิดชอบชาวบ้านภายใต้เขตอำนาจของตนเอง และให้ที่ว่าการมณฑลดูแลจัดการโดยรวมอีกที
แน่นอนว่า สถานการณ์จริงย่อมต้องซับซ้อนยุ่งยากยิ่งกว่านี้ ชาวบ้านอาจจะไม่ยอมอพยพ ขุนนางต่างๆ ก็อาจจะไม่รับผิดชอบงานของตนเองเมื่อภัยพิบัติใหญ่มาถึง
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
สำหรับราชสำนักแล้ว สามารถช่วยได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น
เฉียนชิงซูเอ่ยเสียงเบา
“ทำให้ดีที่สุด แล้วแต่ฟ้าลิขิต”
ได้ยินดังนั้น ปราชญ์มหาสำนักทั้งหลายก็พร้อมใจมองไปทางทิศใต้ ไม่ใช่ทางเหนือที่เทพพ่อมดกำลังกวาดต้อนลงมา
…
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หนานกงเชี่ยนโหรวแขวนดาบไว้ที่เอวและเดินดุ่มๆ ไปยังหอเฮ่าชี่ด้วยจิตใจอันร้อนรน ก่อนจะพบว่าเว่ยเยวียนไม่ได้อยู่ในห้องน้ำชา
ทำให้เขาต้องกลืนคำพูดประเภทที่ว่า ‘ท่านพ่อบุญธรรม จะทำอย่างไรดี’ กลับไป หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง หนานกงเชี่ยนโหรวก็ก้าวยาวๆ ไปยังหอสังเกตการณ์ที่อยู่ทางซ้ายของห้องน้ำชาแล้วมองไปทางพระราชวัง
ตำหนักเฟิ่งฉี
ไทเฮาทรงที่ทรงมีพระอารมณ์ไม่เลวนักกำลังประทับอยู่บนตั่งนอน พลางถือหนังสืออ่านเล่นโดยมีชาดอกไม้และขนมวางอยู่บนโต๊ะชาด้านหน้า
ภายในห้องอันอบอุ่นดั่งอยู่ในฤดูวสันต์ ไทเฮาทรงสวมชุดชาววังสีสันสดใส พระขนงปัดโค้งบางเบาและมีพระพักตร์งามล่มเมืองที่แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัย
พระนางวางหนังสือในมือลง เมื่อเตรียมจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มก็พลันพบว่าข้างนอกมีเงาร่างของคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาสวมชุดคลุมสีกรมท่า จอนผมสองข้างเป็นสีขาว และมีใบหน้าหล่อเหลาองอาจ
“เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
พระพักตร์ของไทเฮาแต้มรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ปกติเว่ยเยวียนจะไม่ค่อยมาเยือนตำหนักเฟิ่งฉีในยามเช้าตรู่ เว้นแต่จะเป็นวันหยุด
“ว่างงานพอดีพ่ะย่ะค่ะ!”
เว่ยเยวียนเดินเข้ามานั่งที่ตั่งแล้วจับพระหัตถ์ของไทเฮา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า
“เพียงอยากอยู่กับท่านพักหนึ่ง”
ไทเฮาขมวดพระขนง จากนั้นก็คลายออกก่อนจะปรับท่านั่งแล้วซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาพร้อมเอ่ยพึมพำ ‘อืม’
ทั้งคู่ดื่มชากันเงียบๆ อย่างรู้ใจ พลางอ่านหนังสือและบางครั้งก็พูดคุยเรื่อยเปื่อย เพลิดเพลินกับช่วงเวลาอันแสนสงบสุขนี้ด้วยกัน
ซึ่งนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแล้วก็เป็นได้
…
เหลยโจว
วัตถุโลหิตเนื้อสีแดงชาดราวกับเป็นอุทกภัยทำลายโลก มันท่วมท้นไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน ภูเขาลำธาร และแม่น้ำลำห้วย
ร่างธรรมแห่งความมืดของเสินซูถอยร่นติดๆ กัน ต่อสู้กันมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขากับยอดฝีมือเหนือสามัญของฝั่งต้าฟ่งต่างก็ถอยมาเรื่อยๆ เกือบร้อยลี้แล้ว
แม้ว่าสิ้นหวังยิ่งนัก เพราะในด้านต้านทานการโจมตี พวกเขาล้วนทำได้เพียงลดความเร็วที่พระพุทธเจ้าจะกลืนกินเหลยโจวเท่านั้น ไม่อาจหยุดยั้งได้เลย
ถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือจากยอดฝีมือระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เรื่องที่เหลยโจวจะแตกนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
‘หากจำไม่ผิด หากถอยต่อไปอีกเจ็ดสิบลี้ก็จะเป็นส่วนของเมือง ชาวบ้านในเมืองไม่รู้ว่าอพยพไปแล้วหรือยัง ไม่สิ ไม่มีทางที่ทุกคนจะออกไปหมดได้…’ หลี่เมี่ยวเจินกวาดตามองอาซูหลัวและโค่วหยางโจวที่สู้เป็นสู้ตายกับเจียหลัวซู่
กวาดตามองจ้าวโส่วและคนอื่นๆ ที่ช่วยเสริมพลังให้เสินซู แต่ตนเองกลับวนเวียนอยู่บนปากเหวของความตาย บางคราวก็ยังถูกพระโพธิสัตว์หลิวหลีลอบโจมตีอีกด้วย
กวาดตามองลั่วอวี้เหิงที่มุ่งเป้าไปที่กว่างเสียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ฝ่ายนั้นกลับถูกพระโพธิสัตว์หลิวหลีช่วยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงยังไม่ประสบความสำเร็จสักที
ความร้อนรนกังวลใจผุดขึ้นมาในใจทีละนิดๆ พลางคิดถึงสวี่ชีอันที่ออกทะเลไปโดยไม่รู้ตัว
‘เจ้าจะต้องรอดชีวิตกลับมานะ’…ขณะที่ความคิดบังเกิด ความรู้สึกที่คุ้นเคยก็แล่นเข้ามาครอบงำ
ความคิดภายในใจสั่นไหว หลี่เมี่ยวเจินจึงเรียกชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เพียงเหลือบมองสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที ก่อนพลั้งปากพูดขึ้นว่า
“เทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกแล้ว”
เสียงของนางไม่ดังนัก แต่กลับทำให้ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันดุเดือดชะงักไป จากนั้นก็แยกย้ายกันโดยปริยาย
ต่อมา อาซูหลัวที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยโลหิตเปียกชุ่มแต่เปี่ยมพลัง นักบวชเต๋าจินเหลียนที่แววตาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด และเหิงหย่วนที่แขนขวาขาดวิ่น ต่างก็พากันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอ่านดู
ข้อความที่ฉู่หยวนเจิ่นหมายเลขสี่ส่งมาแสดงชัดอยู่ในกระจกหยก
สมาชิกพรรคฟ้าดินใจตกไปที่ตาตุ่ม สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียด
และสีหน้าของพวกเขาก็ทำให้พวกผู้อยู่เหนือสามัญอย่างพวกจ้าวโส่วพากันใจดิ่งไปด้วย
เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดที่สุด ก็ยังคงเกิดขึ้น
เทพพ่อมดเลือกหลุดออกจากผนึกในช่วงเวลานี้ ช่วงที่การป้องกันในภาคกลางว่างเปล่าโหรงเหรงที่สุด เขาหลุดออกมาจากผนึกของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว
“เป็นเวลานี้จริงๆ เสียด้วย…”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพูดเสียงพึมพำ
เขาไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ถึงขั้นเดาได้แล้วว่าผู้อยู่เหนือระดับท่านนี้จะหลุดออกจากผนึกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี่เอง ส่วนเหตุผลนั้นง่ายยิ่ง เพราะพ่อมดขั้นหกคือผู้ทำนายและเทพพ่อมดก็มีความสามารถที่จะคว้าโอกาสนี้ได้
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนประนมมือสวดนามพระพุทธเจ้า สีหน้าประดับรอยยิ้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...