บทที่ 907 สละชีพเพื่อชาติ
……….
พื้นที่ระหว่างเขี้ยวบนล่างของมังกรวิญญาณ มีกลุ่มปราณสีม่วงหนาแน่นค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันราวกับถือไข่มุกอยู่ในปาก
ปราณสีม่วงหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มก้อนปราณค่อยๆ แข็งตัวและอัดแน่นจนเกิดเป็นไข่มุกสีม่วงราวกับของจริงที่มีขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ
ปราณสีม่วงที่รวมตัวกันกลางอากาศสลายหายไป มังกรวิญญาณคาบไข่มุกสีม่วงในปากของมันที่รวบรวมโชคชะตาสุดท้ายของราชวงศ์ต้าฟ่ง จากนั้นหันหัวไปมองที่ฮว๋ายชิ่งบนฝั่ง
‘ฮู่ว’…
เสียงพ่นลมหายใจทางปากดังขึ้น มันพ่นไข่มุกไปยังหว่างคิ้วของฮว๋ายชิ่ง แสงสีม่วงสว่างวาบ จากนั้นไข่มุกม่วงก็แผ่กระจายอยู่ที่หว่างคิ้วของฮว๋ายชิ่ง จนทำให้นัยน์ตาและผิวสีขาวของนางถูกย้อมจนเป็นสีม่วง
หลายวินาทีต่อจากนั้น แสงสีม่วงก็สลายหายไป
“ดีมาก!”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวหันหลังเดินไปทางพระราชวัง
‘โฮก…’
นัยน์ตาสีดำดุจกระดุมมองเงาร่างของฮว๋ายชิ่งแล้วส่งเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวด
ฮว๋ายชิ่งใจแข็งและเยือกเย็น นางไม่หันกลับมาและไม่หยุดฝีเท้า นางกลับมายังห้องทรงพระอักษรแล้วนั่งลงด้านหลังโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมสีเหลือง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“ออกไป!”
ขันทีและนางข้าหลวงที่รอรับใช้อยู่ในตำหนักโค้งกายคำนับแล้วพากันถอยออกไป
หลังจากคนออกไปกันแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็คลี่กระดาษจดหมายออก จากนั้นจับแขนเสื้อเอาไว้แล้วฝนหมึกด้วยตัวเอง แล้วจุ่มพู่กันลงในน้ำหมึกก่อนจะเขียนข้อความลงบนกระดาษ
‘หนิงเยี่ยน…’
เมื่อเขียนจบไปสองคำก็ถือพู่กันไว้กลางอากาศ ในใจมีคำพูดอยู่หลายพันหมื่นคำ แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกไปอย่างไร
นางนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็จรดพู่กันอีกครั้ง
‘ผู้ให้กำเนิดข้าไม่ชอบข้า วงศ์ตระกูลข้าก็ล้วนรังเกียจที่ข้าปฏิบัติผิดทำนองคลองธรรม เป็นสตรีแต่กลับขึ้นเป็นจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม ทั้งชีวิตของข้าไม่ผิดต่อบรรพชนและผืนแผ่นดิน ไม่ผิดต่อวงศ์ตระกูลและญาติมิตร ข้าตรงไปตรงมาและไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยม
‘คิดไปคิดมา เรื่องราวที่อยู่ในใจนี้ก็เพียงยินดีบอกกล่าวแก่เจ้าเท่านั้น
‘ข้าศึกษาร่ำเรียนตำราปราชญ์และฝึกฝนวิทยายุทธ์อย่างยากลำบาก เพียงแต่ยามเยาว์วัย มหาราชครูเพียงเอ่ยประโยคเดียวในสำนักศึกษาว่า ‘สตรีไร้ความสามารถนับว่าดี’ เนื่องจากชีวิตของข้าต้องแข่งขันมาโดยตลอด โดยเฉพาะการทะเลาะกับหลินอัน ข้าก็ไม่เคยยอมถอยให้สักครั้ง นับประสาอะไรกับคำพูดของมหาราชครู ในใจจึงย่อมรู้สึกไม่ยินยอมอยู่แล้ว
‘ใครบอกว่าสตรีเทียบไม่ได้กับบุรุษ? ใครบอกว่าสตรีเกิดมาเพื่อปักผ้าอยู่แต่ในห้องหอ ข้าต้องการกลายเป็นสตรีอัจฉริยะที่สั่นสะเทือนทั้งเมืองหลวง ต้องการเรียบเรียงประวัติศาสตร์ใหม่ และต้องการพิสูจน์ให้คนบนโลกเห็นว่าบุรุษในใต้หล้าล้วนเป็นขยะ
เมื่อเริ่มเติบโตขึ้น จิตวิญญาณในวัยเยาว์ก็ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา ข้าร่ำเรียนมาอย่างหนักเป็นสิบปี ทั้งหัวเต็มไปด้วยความรู้ และคิดจะเลียนแบบปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์โดยการสอนสั่งใต้หล้า เลียนแบบปราชญ์เอกโดยการก่อตั้งสำนัก เลียนแบบจักรพรรดิเกาจู่โดยการสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
จนใจที่ฐานะสตรีกลับผูกมัดข้าไว้อย่างแน่นหนา จึงทำได้เพียงอดทนอดกลั้นและไม่ยอมแต่งงานออกเรือน ทั้งยังสนใจเรื่องการเมืองและกิจการของราชสำนัก รวมถึงสั่งสมพวกพ้องแบบลับๆ ก่อนที่จะได้เจอกับเจ้า ข้ามักจะคิดว่าหากผ่านไปอีกสักสองสามปี เมื่อหมดแรงกำลังใจลง ข้าค่อยแต่งงานออกไป
ตอนแรกข้าเมตตาต่อเจ้าก็เพราะความชื่นชมและคิดเลี้ยงดู ที่ขัดแย้งกับเจ้าและหลินอันก็เกิดจากอุปนิสัยที่เคยชินและความดื้อรั้นเท่านั้น
ต่อมาก็ค่อยๆ เกิดความนับถือขึ้นมา ข้าไม่อาจปลดปล่อยตัวเองได้ แต่ก็ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ในใจ ข้าไม่อยากยอมแพ้และเพียรพร่ำบอกตัวเองว่า สิ่งที่ข้าต้องการคือมีคนรักหนึ่งเดียวไปตลอดชีวิต ไม่ยินยอมใช้สามีเดียวกับผู้หญิงอื่น
ไหนเลยจะคิดว่าสุดท้ายยายเด็กหลินอันผู้นั้นกลับขึ้นนำไปเสียได้ ภายในใจจึงมักจะอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้ไม่น้อย และพาลไปเกลียดฝ่ายเฉินไท่เฟยทั้งหมดด้วย ความในใจเหล่านี้ข้าไม่เคยป่าวประกาศออกมา ตอนนี้กลับไม่กลัวเอ่ยกับเจ้า
ถึงแม้ข้ากับเจ้าจะไม่ใช่สามีภรรยากัน แต่กลับมีความจริงใจดั่งคู่รัก ชีวิตนี้ข้าก็ไม่เสียดายแล้ว
เทพพ่อมดปรากฏขึ้นบนโลกโดยมีจิ่วโจวเป็นเดิมพัน ต้าฟ่งอยู่บนปากเหวความเป็นตาย ในฐานะที่เราเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักร จึงต้องแบกรับภาระหนักนี้เอาไว้ โอรสสวรรค์ย่อมต้องป้องกันอาณาจักร เจ้าผู้ปกครองย่อมเสียสละชีพตนเพื่อชาติ นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
ใต้หล้านี้ ข้ากับเจ้าร่วมกันแบกรับ
ข้าไม่เคยเอาแต่ใจเลยสักครั้ง แต่นี่เป็นเพียงครั้งเดียว และจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
เมื่อเจ้าสงบภัยพิบัติใหญ่ได้และนำความสงบสุขมาสู่โลกแล้ว ก็อย่าได้ลืมบอกกล่าวช่วงเวลายามวสันต์งดงามนั้นแก่ข้าด้วย เพียงเท่านี้ข้าก็ตายตาหลับ
จดหมายสุดท้ายของฮว๋ายชิ่ง!’
….
พรมแดนของอวี้โจวและเจี้ยนโจว
บนท้องฟ้ามีมวลเมฆดำทะมึนตั้งเค้ามาแต่ไกล พวกมันบดบังฟ้าสีครามและดวงอาทิตย์ ทำให้ทั้งโลกราวกับถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งดำมืดน่าสะพรึง กองทัพมนุษย์ศพจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นพิโรธ อีกส่วนมีแสงอาทิตย์สาดส่อง ภูเขาและที่ราบล้วนมีแต่ฝูงชนที่พากันหลบหนีอลหม่านอย่างตื่นตระหนก
พวกเขาราวกับฝูงมดที่สูญเสียกระดูกและจิตใจไป ถึงแม้จะมีจำนวนมาก แต่ก็กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ รู้จักเพียงแต่การวิ่งหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่สนทิศทาง
จุดที่แสงสว่างและความมืดตัดกันนั้น เงามืดได้คืบคลานมาปกคลุมกองทัพหนึ่งร้อยคนที่คอยปกป้องชาวบ้าน ชั่วขณะต่อมา ทหารและชาวบ้าน รวมไปถึงม้าศึกที่อยู่ใต้นั้นต่างก็ตัวแข็งทื่อ จากนั้นดวงตาของทั้งคนและสัตว์ก็กลายเป็นสีขาว ใบหน้าซีดเผือด และเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นศพไปเสียแล้ว
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย…”
ผู้คนที่หมดเรี่ยวแรงอยู่ข้างหน้าเห็นสภาพการณ์ดังนั้นก็ตกใจจนจิตใจภายในแตกฉานซ่านเซ็น พวกเขากรีดร้องลั่นพลางกระตุ้นศักยภาพของตัวเองให้หลบหนีต่อไป
แต่ไม่นาน พวกเขาก็ไม่กรีดร้องออกมาอีก ทว่าสีหน้ากลับแข็งทื่อชาหนึบ
พวกเขากลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของคลื่นศพนี้เช่นกัน จากนั้นก็มุ่งไปข้างหน้าต่อพร้อมกับเมฆทะมึน
มีคนกลายเป็นมนุษย์ศพมากขึ้นเรื่อยๆ และสูญเสียชีวิตโดยไม่อาจต่อต้านใดๆ ได้ เมื่ออยู่ภายใต้ผู้อยู่เหนือระดับขั้น มนุษย์และมดก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนัก
ฉู่หยวนเจิ่นเหยียบอยู่บนกระบี่บิน ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและขื่นขมอย่างยากจะบรรยาย ความรู้สึกเหล่านี้แทบจะกลืนกินตัวเขาได้เลยด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ไม่นานเทพพ่อมดได้ปรากฏสู่โลกและกวาดต้อนไปทั่วภาคกลาง เขาได้เห็นกับตาถึงฉากที่ทหารแต่ละคนถูกกลืนกินและกองทัพพลเรือนต่างก็กลายเป็นมนุษย์ศพ
รูปแบบการหลบหนีวุ่นวายโกลาหลในชั่วพริบตา จนกระทั่งมันกลายเป็นภาพอย่างเช่นในปัจจุบัน ทั่วทั้งที่ราบและภูเขาล้วนเป็นมนุษย์ ไม่มีการรวมกลุ่ม ไม่มีเป้าหมาย เอาแต่หลบหนีโดยไม่รู้ทิศรู้ทาง
และสถานการณ์เช่นนี้ ยังเกิดขึ้นในสถานที่อื่นๆ ของมณฑลทั้งสามที่อยู่ติดกันทางตะวันออกเฉียงเหนือด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเช่นนี้ คลื่นมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าฉู่หยวนเจิ่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง
ทั้งสามมณฑลล้วนจบสิ้นแล้ว ชาวบ้านหลายสิบล้านคนล้วนถูกกำจัดสิ้นในหายนะกลืนกินภาคกลาง อีกทั้งด้านหลังยังเป็นเจี้ยนโจว ถัดจากเจี้ยนโจวไปก็เป็นเจียงโจว แล้วก็เมืองหลวง
ไม่มีสงครามใดที่น่ากลัวเช่นนี้ แม้แต่ยุทธการด่านซานไห่ในปีนั้น จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายก็มีเพียงแค่หนึ่งถึงสองล้านคนเท่านั้น
เมื่อได้เห็นภัยพิบัติเช่นนี้กับตาตัวเอง ช่างเป็นเรื่องโหดเหี้ยมสำหรับเขายิ่งนัก
บางทีหลังจากนี้อีกสิบหรือยี่สิบปี เมื่ออยู่ในห้วงฝันยามดึกของสักวันหนึ่ง เขาอาจจะถูกปลุกให้ตื่นด้วยภาพหายนะเช่นนี้ก็เป็นได้
ตอนนี้เอง สายตาของฉู่หยวนเจิ่นก็รวมกันที่คู่แม่ลูกที่อยู่ไกลๆ แม่ลูกสองคนนี้อยู่บนจุดที่แสงสว่างและความมืดตัดกัน โดยที่เบื้องหลังคือเมฆาทะมึนที่แผ่ขยายอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เด็กหญิงน้อยล้มลงแล้ว
“ท่านแม่ ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว…”
เด็กหญิงน้อยวัยประมาณเจ็ดแปดขวบอาบเหงื่อไปทั่วร่าง เส้นผมสีเหลืองแนบติดบนใบหน้า ริมฝีปากแห้งแตก
ขาน้อยๆ สองข้างของนางมีแผลพุพองเล็กน้อย ยามวิ่งก็โซซัดโซเซ บิดาที่แบกนางไว้บนหลังเห็นผู้คนด้านหลังหนีตายอย่างอเนจอนาถ จึงได้ทิ้งพวกนางสองแม่ลูกไว้แล้วหนีเอาชีวิตรอดไปคนเดียว
มารดาวัยสาวที่สวมชุดสามัญยังมีกำลังเหลืออยู่ แต่ไม่พอจะอุ้มเด็กน้อยหลบหนี นางกอดเด็กสาววัยเยาว์ไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ยว่า
“แม่จะอยู่กับเจ้า แม่จะอยู่กับเจ้า…”
นางหวาดกลัวเสียจนทั้งตัวสั่นระริก สีหน้าซีดเผือด แต่แขนที่กอดเด็กหญิงยังคงมั่นคงไร้ใดเปรียบ
“ท่านแม่ ทำไมท่านพ่อไม่ต้องการพวกเราแล้วล่ะ”
สีหน้าของมารดาเผยความเจ็บปวด
สีหน้าของเด็กหญิงและมารดาเป็นคนละแบบ บนใบหน้าของนางมีทั้งความหวังและความมุ่งมั่น นางเอ่ยอย่างแจ่มชัด
“ฆ้องเงินสวี่จะปกป้องพวกเราเอง”
เด็กน้อยที่เคยไปที่ภัตตาคาร เคยดูละครหุ่นเชิด เคยได้ฟังเรื่องราวที่เล่าจากปากนักเดินทางล้วนแต่รู้จักฆ้องเงินสวี่กันทั้งนั้น
เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่คุ้มครองชาวบ้าน
ตอนนี้เอง ฉู่หยวนเจิ่นก็เหยียบกระบี่บินลงมาแล้วคว้าแขนของมารดาสาวผู้นั้น จากนั้นพาสองแม่ลูกบินขึ้นฟ้ามา จากนั้นก็หันหลังบินกลับอย่างรวดเร็วทันที
เทพพ่อมดไม่ได้เข้ามาแทรกแซง คงเป็นเพราะมดปลวกเช่นนี้ไม่คู่ควรให้เขามาสนใจ
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ช่วยชีวิต”
มารดาสาวหนีออกมาจากความตายได้ นางกอดลูกสาวทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยขอบคุณไม่หยุด
เพียงแต่นางเอ่ยพูดภาษาถิ่น ฉู่หยวนเจิ่นฟังไม่ออกแต่เข้าใจความหมาย
“ท่านคือฆ้องเงินสวี่หรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...