บทที่ 908 อับจนหนทาง (1)
……….
เจ้าโส่วนำวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ปะทะเข้ากับเมฆดำที่หนาหนักด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานและหลบเลี่ยง
เขาและวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ถูกเมฆดำกลืนกินในชั่วพริบตา เมฆดำซึ่งเกือบจะเข้ามาแทนที่ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งหดตัวลงอย่างรวดเร็ว และไปรวมตัวกัน ณ ใจกลาง ราวว่าต้องการห่อหุ้มและขัดเกลาวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
ทว่าในเวลาถัดมา ภายในเมฆดำที่มืดทึบและหนาหนัก มีลำแสงใสผุดออกมา จากนั้นลำแสงนับหมื่นนับพันก็ทะลุออกมาจากเมฆดำ ปราณใสและเมฆดำผสมปนเปกัน เสมือนเกิดปฏิกิริยาทางสสาร เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายบนท้องฟ้าสูง
เสียงระเบิดทับซ้อนกัน สั่นสะเทือนจนประชาชนที่หนีเตลิดอยู่บนพื้นดินหมอบติดพื้น พวกเขาป้องศีรษะไว้พร้อมกับสั่นงึกงัก และสูญเสียสติปัญญาไปอย่างหมดสิ้น หลงเหลือเพียงความหวาดกลัวอันไร้ซึ่งขอบเขต
เมื่อเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติ ความหวาดหวั่นของมนุษย์จะกลืนกินสติปัญญา และสูญเสียการคิดวิเคราะห์
ทว่าการสั่นหมอบไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาได้ ผู้คนส่วนมากตายด้วยคลื่นกระแทกของการระเบิด ‘เสียงฟ้าร้อง’ แต่ละระลอกล้วนกระพือลมพายุอันน่าหวั่นสะพรึง และหมุนหอบผู้คนกับสิ่งของบนพื้นดินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่นี่เองก็มีกองทัพมนุษย์ศพ
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ติดต่อกันเป็นลูกโซ่ เมฆดำเบาบางลงด้วยความเร็วซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
‘โฮก!’
เมฆดำปูดนูนออกมาเป็นใบหน้าคลุมเครือที่ใหญ่ยักษ์ แผดเสียงคำรามที่สะเทือนใบหูจนแทบหนวกด้วยความโกรธเกรี้ยว
กองทัพมนุษย์ศพบนพื้นดินแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ลำแสงเลือดไหลขึ้นไปบนชั้นเมฆเป็นสายๆ เมฆดำที่เดิมเบาบางลงจึงหนาหนักขึ้นอีกครั้ง พร้อมด้วยสีสันมันวาวเหมือนวาดด้วยหมึกดำ
“ห้ามร่ายวิชาวิญญาณโลหิต ณ ที่นี้”
ท่ามกลางชั้นเมฆ เสียงที่เรียบต่ำดังออกมา
ช่วงสั้นๆ ถัดมา ปราณโลหิตแตกพ่าย กองทัพมนุษย์ศพยืนขึ้นอย่างทื่อแข็ง
“ผู้สิ้นชีพต้องฝังกลบดินเพื่อไปสู่สุขคติ”
เสียงที่เรียบต่ำดังขึ้นอีกครา
ฉากที่ยากจะเชื่อเกิดขึ้นแล้ว พื้นดินที่รกร้างปริแตกออกเป็นสายๆ กองทัพมนุษย์ศพที่มืดฟ้ามัวดินล้มระเนระนาด ศีรษะปักลงบนรอยแยก จากนั้นรอยแยกก็ประกบกัน ก่อนหน้านี้ยังเป็นกองทัพเกรียงไกร ถัดมาครู่เดียวกลับว่างเปล่า หลงเหลือเพียงพื้นดินกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยซาก
กระแสความเคลื่อนไหวของศพที่ถูกรอยแยกกลืนกินในขณะนี้ ถูกตัดขาดจากเทพพ่อมดโดยสิ้นเชิง
เมื่อเทพพ่อมดได้เห็นสถานการณ์จึงอัญเชิญม่านลวงตาที่เลือนรางออกมาเก้าม่านเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเก้าคน แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลที่มีวิทยายุทธ์สูงส่ง มีพลังมหาศาลระดับเคลื่อนย้ายภูเขาเติมเต็มมหาสมุทร ซึ่งเคยเป็นผู้ไร้เทียมทานในโลกมนุษย์
แม้กำลังรบจริงของพวกเขาจะไม่เหมือนตอนยังมีชีวิต คงไว้เพียงกายาจิต พลังกายและพลังปราณ
แต่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ใช่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ตอนยังมีชีวิต ทั้งยังมีเทพพ่อมดขวางอยู่ตรงหน้า ด้วยการช่วยเหลือของเก้าสุดยอดขั้นหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้าระดับเหนือมนุษย์อื่นๆ หากใช้ให้เหมาะสม มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงกำลังรบของเก้าสุดยอดในสถานการณ์สู้รบได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเผชิญคือปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
ในพริบตาที่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเก้าคนรวมตัวกัน ท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งก็มีเงาเก้าเงาปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน
คนหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนแท่นบัวเก้ากลีบ หลังศีรษะควบรวมด้วยพระอาทิตย์ขนาดเล็ก ซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์ของสำนักพุทธเมื่อหลายพันปีก่อน
คนหนึ่งใส่ฉลองพระองค์คลุมมังกรและสวมมงกุฎ แบกง้าวฟางเทียนฮว่าไว้ที่หลัง ถือดาบทองสัมฤทธิ์ที่สลักด้วยลวดลายสลับซับซ้อนไว้ในมือ ซึ่งก็คือจักรพรรดิองค์หนึ่งของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน
คนหนึ่งเปลือยกายท่อนบน รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ร่างกายท่อนล่างเป็นหางงูที่บึกบึน มือทั้งสองข้างไร้อาวุธ ดวงตาทั้งคู่แดงฉานราวหิมะ
คนหนึ่งเป็นอสูรโดยสมบูรณ์ ลักษณะคล้ายสิงโต มีหกหัว ขนตรงแผงคอเป็นงูตัวเล็กตัวน้อยหลายตัว
ในบรรดาหกคนที่เหลือ ทั้งสามคนเป็นบัณฑิตใส่ชุดนักปราชญ์ สวมมงกุฎขงจื๊อไว้บนศีรษะ หนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ก่อตั้งสำนักอวิ๋นลู่ ซึ่งเป็นรองปราชญ์เอกขั้นหนึ่ง
ยังมีอีกสามคนที่สวมใส่ชุดนักพรต คนหนึ่งปราณกระบี่ดั่งสายรุ้ง คนหนึ่งพลังบุญกุศลติดตัว คนหนึ่งเป็นร่างเงามายา ราวว่าอยู่ในอีกภพหนึ่ง
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เองก็อัญเชิญผู้แข็งแกร่งในอดีตที่มีกงกรรมกงเกวียนกับเขา และมีระบบที่ซับซ้อนยิ่งกว่า กลวิธีก็ครบเครื่องยิ่งกว่า
ส่วนกลวิธีในการอัญเชิญ แน่นอนว่าเป็นการพลอยเทพพ่อมด
ระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหกของลัทธิขงจื๊อ สามารถเรียนรู้วรยุทธ์และทักษะของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับบันทึกไว้ ปัญญาชนน่ะ ความสามารถในการเรียนรู้เป็นเรื่องพื้นฐาน
และเมื่อถึงระดับกำเนิดปราชญ์ มองเพียงครู่เดียวก็สามารถคัดลอกวรยุทธ์ของศัตรูได้ร้อยเต็มร้อย
วิญญาณวีรบุรุษผู้แข็งแกร่งในอดีตสิบแปดคนสู้กันเป็นหมู่คณะ โดยอาศัยการประสานกันของระบบต่างๆ สำนักพุทธให้การช่วยเหลือ ลัทธิขงจื๊อให้การควบคุม นิกายปฐพีตัดดวง คนเถื่อนและจอมยุทธ์นำทัพสร้างความเสียหาย
วิญญาณวีรบุรุษจอมยุทธ์เก้าสุดยอดที่เทพพ่อมดอัญเชิญออกมา ถูกเกี่ยวคอสังหารเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
“ร่ายวิชาสาปสังหาร ณ ที่นี้”
“ห้ามเข้าสู่ฝัน ณ ที่นี้”
“ห้ามอัญเชิญพลังฟ้าดิน ณ ที่นี้”
“….”
ทุกการสวดท่องหนึ่งครั้ง วรยุทธ์ของเทพพ่อมดก็จะถูกช่วงชิงไปส่วนหนึ่ง และเงาร่างของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จะกลายเป็นความว่างเปล่าตามในทันที ขณะรอปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์หยุดสวด เทพพ่อมดได้สูญเสียความสามารถระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมดไปแล้ว เขามีเพียงฐานะของระดับเหนือมนุษย์อย่างเปลือยเปล่า แต่ไร้ซึ่งพลังและวรยุทธ์ที่สอดคล้องกัน
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จับดาบสลักทันทีหลังจากนั้น เงาร่างที่เกือบจะว่างเปล่า ย่างก้าวออกมาแทงดาบสลักที่เรียบโบราณและไร้ซึ่งความหรูหราออกไป ลมพายุแผดคำราม ฟ้าดินเปลี่ยนสีในฉับพลันนั้น
ลำแสงใสที่บาดตาเปล่งขยายออกมา ประดุจพระอาทิตย์ขนาดเล็กดวงหนึ่ง
เมฆดำดับสลายทีละชั้น แปรปรวนไม่แน่นิ่ง ใบหน้าที่คลุมเครือขนาดใหญ่ยักษ์ควบรวมขึ้นอีกครั้ง และแผดเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวว่า
“ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์”
ต่อจากนั้น มันก็ดับสลายไปพร้อมกับเมฆดำ
แสงอาทิตย์ส่องทั่ว ท้องฟ้าครามเข้ม ไร้ลม เกิดเมฆ สงบแน่นิ่ง
ทุกอย่างเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ประชาชนและนายทหารที่เคราะห์ดีรอดมาได้ หันมองโดยรอบอย่างงุนงง หลังจากยืนยันว่าตนเองปลอดภัย ก็แผดเสียงโห่ร้องดีใจอย่างเขย่าฟ้าสะเทือนดินในชั่วประเดี๋ยวนั้น
ฮว๋ายชิ่งมองเขาครู่หนึ่ง จักรพรรดิแห่งโลกมนุษย์ผู้นี้เย็นชาราวน้ำค้างเยือกแข็ง เก็บซ่อนความเศร้าโศกไว้สุดซึ้ง นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า
“เทพพ่อมดยังไม่ตาย เพียงแต่ถูกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์โจมตีจิตเดิมให้แตกกระจาย ภายในสามวันห้าวัน จะต้องหวนคืนมาแน่ พี่ฉู่ ท่านรีบไปภูเขาเฉวี่ยนหรง ให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ร่วมมือกับขุนนางเจี้ยนโจว รวบรวมประชาชน ละทิ้งทรัพย์สมบัติ ถอยกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักศีรษะ ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท ท่านล่ะ”
ฉว๋ายชิ่งเอ่ยยิ้มอย่างกลัดกลุ้มว่า
“ในร่างข้าไม่หลงเหลือโชคชะตาแม้เพียงเล็กน้อย ต้าฟ่งกำลังจะล่มสลายแล้ว”
โชคชะตาของต้าฟ่งกระจายไปแล้ว ก็เหมือนดินแดนเหยียน คัง และจิ้ง เมื่อสิ้นโชคชะตาก็ล่มสลาย กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้าฟ่ง
บัดนี้ชะตาบ้านเมืองของต้าฟ่งสูญสิ้นแล้ว การถูกกลืนกินโดยระดับเหนือมนุษย์เหมือนเป็นเรื่องไม่ช้าไม่เร็ว
พอคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของฉู่หยวนเจิ่นเศร้าโศกและหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าอนาคตของต้าฟ่งอยู่ที่ใด อนาคตของประชาชนในจิ่วโจวอยู่ที่ใด
“บัดนี้เราทำได้เพียงทำให้ดีที่สุดและเชื่อฟังโชคชะตา”
เขาหันไปน้อมคำนับฮว๋ายชิ่งโดยไม่คำนึงถึงความเศร้าโศก จากนั้นกระโดดขึ้นสันกระบี่ ส่งเสียงร้องแล้วจากไป
ณ เหลยโจว
ร่างกายของหยางกงสั่นสะเทือนอย่างทันทีทันใด ปราณใสปรากฏในลูกตาดำ เข้มข้นอย่างถึงที่สุด พรั่งพรูออกมาประหนึ่งหมอกหนา
เขาสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงได้เข้าใจการเลือกของจ้าวโส่ว
ความโศกเศร้าอันและความลังเลอันแข็งกร้าวทะลักออกมาจากหัวใจ น้ำตาไถลผ่านแก้มอย่างไร้ซึ่งเสียง ปัญญาชนขั้นสามที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาผู้นี้เอ่ยเบาๆ ว่า
“เจ้าสำนักศึกษาสิ้นชีพแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...