บทที่ 910 ถึงคราวโชคเข้าข้าง (1)
……….
พระพุทธเจ้าชูร่างธรรมพระมหาไวโรจนะขึ้น ค่อยๆ กดพระอาทิตย์สีทองอำพันที่ขจัดพวกนอกรีตนอกรอย ชำระโลกให้บริสุทธิ์ลง
มันหนักมากถึงขนาดที่ว่า ด้วยพละกำลังของพระพุทธเจ้า เป็นเพียงการผลักไปอย่างช้าๆ เท่านั้น
และมันยังน่ากลัวมากเช่นกัน แสงสีทองเรืองรองแผดเผาทุกสิ่งยกเว้นพระพุทธเจ้า รูปร่างของร่างธรรมแห่งความมืดบิดเบี้ยวราวกับแก้วที่หลอมละลาย
พลังที่ประกอบเป็นร่างธรรมแห่งความมืดถูกทำลายล้างอย่างรวดเร็ว พวกมันชำระล้างให้บริสุทธิ์ด้วยแสงสีทอง
ร่างธรรมมลายสิ้นในชั่วอึดใจ ร่างอมตะของเสินซูอยู่ใต้ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร แขนทั้งแปดคู่ของพระพุทธเจ้าโอบอุ้มดวงอาทิตย์สีทอง กดลงบนหน้าอกเสินซู
ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรไม่ได้รุนแรงมากเหมือนอย่างที่คิด มันกำลังโดนขัดขวาง
สิ่งที่ขัดขวางมันไว้คือรากฐานของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอมตะ
‘ฟู่ว ฟู่ว ฟู่ว’…ข้างใต้ดวงอาทิตย์สีทองมีควันพวยพุ่งออกมา เป็นผลจากการพยายามเผาทำลายร่างเสินซู
เสินซูในตอนนั้น พ่ายแพ้ให้แก่ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร ร่างกายถูกชำแหละแล้วแยกปิดผนึกไว้ วันนี้ห้าร้อยปีต่อมา ดูเหมือนโชคชะตาจนวันเวียนมาบรรจบกัน
ไม่ คราวนี้เสินซูจะไม่โดนผนึกอีกต่อไป เขาต้องถูกสังหารทิ้งเท่านั้น
พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์เดิม พระองค์หันเหเปลี่ยนวิถี กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎของฟ้าดินแล้ว
นักบวชเต๋าจินเหลียน หลี่เมี่ยวเจิน หยางกง โค่วหยางโจวและเจียหลัวซู่ ดวงตาทุกคู่สะท้อนความสิ้นหวัง แม้จะรู้ว่าระหว่างสวี่ชีอันเดินทางออกนอกโพ้นทะเล ลึกๆ ในใจก็พร้อมพังพินาศไปด้วยกัน
แต่เมื่อช่วงเวลานี้มาถึง ความไม่ยินยอมและอ่อนแอ ยังคงท่วมท้นกลางทรวง พาลให้ขวัญกำลังใจของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์กลุ่มนี้ลดลง
ยิ่งด้านหลังคือประชาชนชาวเหลยโจว ถัดจากเหลยโจวก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยิ่งกว่า ส่วนเบื้องหน้าคือเทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่กำลังเข้าสู่ห้วงความตาย
ความอ่อนแอและความสิ้นหวังกำลังครอบงำพวกเขา
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถกำจัดความทุกข์ใจที่รุมเร้า กวัดแกว่งกระบี่บิน เหยียบแสงดาบอันเลื่องชื่อลือชา กระโจนเข้าสู่อาณาเขตไร้สีและช่องว่างมิติที่พระโพธิสัตว์มัญชุศรีแบกค้ำเอาไว้
การปะทะกันระหว่างคมดาบและกำแพงมิติช่องว่าง ทำให้เขตปราณเกิดประกายไฟ ชุดคลุมขนนกของลั่วอวี้เหิงปลิวไสว ดวงตาคู่สวยสะท้อนสะเก็ดกระบี่ที่ส่องประกาย นางดูเหมือนเทพเซียนที่ไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟ ซ้ำยังเหมือนเทพีแห่งสงครามที่งดงามอีกด้วย
กำแพงมิติช่องว่างที่ไม่เกิดระลอกคลื่น จู่ๆ ก็สั่นสะเทือนเกิดรอยยับย่นคล้ายระลอกคลื่นปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเสียง ‘ปัง’ ระเบิดดังอย่างต่อเนื่อง กำแพงมิติช่องว่างของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีพังทลายลงก่อน ตามด้วยขอบเขตของร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สีกลายเป็นลมกระโชกแรงพัดหายไป สิ่งต่างๆ กลับมามีสีสันอีกครั้ง
เป็นไปได้อย่างไรกัน ด้วยพลังการต่อสู้และความเร็วของพระโพธิสัตว์ทั้งสาม เป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงพวกเขาไปช่วยเสินซู หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ รู้สึกเสียขวัญ
เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ทั้งสาม แต่ก็ยังจัดการมันได้ เจียหลัวซู่ก้าวไปข้างหน้า เผชิญกับลั่วอวี้เหิง
ทักษะดาบของนิกายมนุษย์ไม่มีใครเทียบได้ ทั้งหลิวหลีและกว่างเสียนล้วนกลัวการเข้าใกล้นาง แต่เจียหลัวซู่ไม่กลัว กลับกัน ลั่วอวี้เหิงต่างหากที่กลัวเขา
พระโพธิสัตว์หลิวหลีชายตามองอาซูหลัวและคนอื่นๆ เมื่อใดที่พวกเขาลงมือ ก็พร้อมจะพากว่างเสียนเข้าสมทบทันที จะได้ให้เขาแสดงร่างธรรมมหาเมตตากรุณาและร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร
เมื่อร่างธรรมทั้งสองนี้ปรากฏ พลังต่อสู้ทางฝั่งของต้าฟ่งจะลดลง
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ประกบฝ่ามือจับกระบี่บินที่น่าเกรงขาม ท่ามกลางเสียงฟู่ว ฟู่ว…ชวนเข็ดฟัน เลือดเนื้อบนฝ่ามือได้ละลายหายอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อแขนสั่นเทิ้มกับการแย่งกระบี่อย่างเอาเป็นเอาตาย
กระบี่เพียงเล่มเดียว สามารถสร้างความเสียหายไม่น้อยให้แก่พระโพธิสัตว์ลูกสมุนที่ทรงพลังที่สุดของพระพุทธเจ้า
เจียหลัวซู่โน้มก้าวไปด้านหน้าลดระยะห่างกับลั่วอวี้เหิง ต้องการให้เซียนครองพิภพผู้นี้ได้ลิ้มรสผลที่ตามมา เพื่อให้นางชดใช้สำหรับการกระทำของนางอย่างแสนสาหัส
แผ่นดินยกตัวขึ้นกลายเป็นโล่หนาหน้าลั่วอวี้เหิง ครู่ต่อมา โล่ดินกลับแตกสลาย หมัดของเจียหลัวซู่ชกทะลุกลางอกลั่วอวี้เหิง เลือดสดสีทองเข้มพุ่งออกมาทางด้านหลังราวกับน้ำพุ
ไม่คาดคิด หางจิ้งจอกยาวฟูฟ่องโผล่พ้นออกมาจากเงาข้างใต้ร่างลั่วอวี้เหิง
ไม่มีแม้แต่สัญญาณ ไม่มีกลิ่นอายผันผวนใดๆ หางจิ้งจอกแยกตัวออกเป็นสองส่วนพันรอบกายพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพระโพธิสัตว์หลิวหลี
การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โจมตีพระโพธิสัตว์ทั้งสามโดยไม่ทันระวัง หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ประหลาดใจและสับสน ยังมีตัวช่วยอีกหรือ?
ทันใดนั้น หลังจากเห็นหางจิ้งจอกขนปุกปุย ความทรงจำเก่าๆ ฝุ่นเกาะฟื้นคืนมาอีกครั้ง บุคคล ไม่สิ จอมปีศาจที่สอดคล้องต้องกันผุดขึ้นมาในหัวทุกคน นั่นคือ หางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง!
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางย้อนกลับมาที่จิ่วโจวตั้งนานแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะทนไม่ได้ต่อความตั้งใจของซุนเสวียนจี
นางที่ใช้ค่ายกลส่งตัวย้อนกลับมายังสำนักโหราจารย์ แล้วพบกับผู้พิทักษ์หยวนที่เฝ้าประตู ผู้พิทักษ์หยวนบอกแผนทั้งหมดกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแทนศิษย์พี่ ‘ใบ้’
แผนการนั้นง่ายมาก ซุนเสวียนจีจะใช้วิชาอำพรางความลับสวรรค์แทนนางและผู้นำเผ่าอั้นกู่ ต่อจากนั้น เขาก็ส่งกระแสจิตหาลั่วอวี้เหิง ขอให้อั้นกู่ซ่อนนางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแฝงตัวอยู่ในเงาลั่วอวี้เหิง
ในเวลานี้ ผู้ที่รู้ถึงการมีอยู่ของเงาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มีเพียงซุนเสวียนจีและลั่วอวี้เหิง ทั้งยังไม่ละเมิดข้อจำกัดของ ‘วิชาอำพรางความลับสวรรค์’
ส่วนเหตุผลที่เลือกใช้เงามาเป็นที่ตั้ง ก็เพราะวิธีนี้เท่านั้นถึงจะอำพรางได้ ถึงแม้ว่าวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะปกปิดกลิ่นอายได้ แต่ไม่ว่าจะ ‘การส่งตัว’ ของระบบขงจื๊อหรือการส่งตัวของโหร ล้วนมาพร้อมกับคลื่นพลังงาน
เป็นการยากที่จะปกปิดโพธิสัตว์ทั้งสาม
อย่างไรก็ตาม ‘เงา’ ต้องซ่อนอยู่ในเงาลั่วอวี้เหิงล่วงหน้า แล้วค่อยใช้วิชาอำพรางความลับสวรรค์เพื่อปกปิดลมปราณ ตราบใดที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปหาเจียหลัวซู่ที่มีลางล่วงรู้วิกฤติและพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่ควบคุมร่างธรรมธุดงค์ก็สามารถบรรลุผลได้
“คิกๆๆ …”
เสียงหัวเราะใสกังวานคล้ายระฆังดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของหางฟูฟ่องทั้งแปดหาง เสียงปีศาจดังยั่วยวนชวนใจสั่นสะท้าน เหล่าจอมยุทธ์เหนือมนุษย์มีอาการประสาทหลอนและเวียนศีรษะ
ลั่วอวี้เหิงไม่หวั่นไหวเปิดปากเล็กน้อย พ่นปราณกระบี่ออกมาสองครั้ง ภาพตรงหน้าเจียหลัวซู่ค่อยๆ ดับมืด เบ้าตาทั้งสองมีโลหิตไหลลงมาอาบแก้ม
อีกด้านหนึ่ง พระโพธิสัตว์หลิวหลียังคงตื่นตระหนก เรียกอัญเชิญร่างธรรมธุดงค์ หลบหนีพันธนาการจากหางจิ้งจอก
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนอัญเชิญร่างธรรมมหาเมตตากรุณา แล้วล่าถอยมาตั้งหลัก แต่ความเร็วของเขาไม่อาจเทียบได้กับหลิวหลี จึงถูกหางที่ดูน่ารัก แต่ความจริงแล้วทลายเขาแยกแม่น้ำได้ทั้งสี่หางพัวพันในทันที
โอกาสแสนริบหรี่…
จู่ๆ หยางกงก็ก้าวขึ้นมา ตะโกนเสียงลั่น
“กว่างเสียนต้องไม่แสดงร่างธรรมมหาเมตตากรุณา!”
หลังจากพูดจบ เขาก็กระอักเลือดทรุดล้มลงบนพื้น จิตเดิมของหยางกงก็สูญสลายด้วยกลไกวรยุทธ์
นักบวชเต๋าจินเหลียนและหลี่เมี่ยวเจินยื่นมือออกมาพร้อมกัน ต่างคนต่างหยิบเสี้ยววิญญาณใส่ในกายตน
ระดับบรรลุธรรมลัทธิเต๋ามีวิธีขอตนเองในการบำรุงจิตเดิม
เป็นไปไม่ได้ที่วิชาเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิตของขั้นสามจะสกัดขั้นหนึ่ง เสียงบทสวดระหว่างฟ้าดินพลันยืดยานคาง แม้นจะบนฟ้าจะมีแสงสีทองจะส่องลงมา แต่ร่างธรรมมหาเมตตากรุณากลับหลอมรวมไม่ทัน
ยังคงได้รับผลกระทบ
เงาใต้เท้าลั่วอวี้เหิงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทันใดนั้นก็ขยายตัวกลายเป็นเงามืดปกคลุมทั่วน่านฟ้าบดบังแสงสีทอง
เมื่อสูญเสียการสนับสนุนจากเงา นางปีศาจผมเงินก็โผล่ออกมาจากเงา
เมื่อเห็นเช่นนี้ พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็รีบกลับมาช่วยทันที ร่างของนางยังคงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องรอบๆ พระโพธิสัตว์กว่างเสียน เป็นผลให้สีสันทั้งหมดในบริเวณนั้นจางหาย
แต่อาณาเขตไร้สีก็หยุดยั้งจิ้งจอกเก้าหางที่เลื่อนสู้ขั้นหนึ่งไม่ได้
หางที่เหลือทั้งสี่ตบพื้นอย่างแรง ระหว่างแผ่นดินสั่นไหว อาณาเขตไร้สีก็แตกกระจาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...