เครื่องบูชา ภาชนะกระจัดกระจายไปทั่ว กระเบื้องที่สาดกระเด็นมีบางส่วนหล่นทับตัวจักรพรรดิหยวนจิ่ง
สถานการณ์วุ่นวายในทันใด ทหารองครักษ์ที่ตรวจตราโดยรอบรีบตรงมายังค่าย พุ่งไปยังซังผอ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เฝ้าระวังอยู่ริมทะเลสาบตรงไปยังขบวนเซ่นไหว้ คุ้มกันเชื้อพระวงศ์และเหล่าข้าราชบริพาร
“มีนักฆ่า คุ้มกันฝ่าบาท”
“คุ้มกันฮองเฮา คุ้มกันองค์หญิง…”
“คุ้มกันสมุหราชเลขาธิการ…”
เงาร่างสั่นไหว ฆ้องทองคำสิบคน ยอดฝีมือของทหารองครักษ์ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หน่วยงานราชการ ยอดฝีมือของสำนัก เพียงแค่ชั่วขณะก็มีทหารระดับสูงนับสิบคนบินขึ้นสู่ฟ้า ลอยตัวลงบนแท่นสูงและทางเดินยาวที่คดเคี้ยว คุ้มกันจักรพรรดิหยวนจิ่งไว้อย่างหนาแน่น
ความโกลาหลดำเนินไปเพียงไม่นาน เพราะไอกระบี่ที่ผ่าทะลุฟ้านั่นหายไปอย่างรวดเร็ว ทะเลสาบกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ไม่ได้มีนักฆ่า เมื่อลมพายุสงบ โดยรอบนิ่งลงแล้ว ไม่พบใครบาดเจ็บล้มตายและบุคคลน่าสงสัย
เว่ยเยวียนเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยในพิธีเซ่นไหว้ เดินขึ้นแท่นสูงตามทางเดินยาวบนน้ำที่คดเคี้ยว โค้งคำนับพร้อมกล่าว
“ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ ข้าน้อยสมควรตาย”
เวลานี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งตั้งสติได้แล้ว แต่ผ่านเรื่องราวนี้ ไอเทพที่เลือนรางของเขาก็ได้หายไปจนหมดสิ้น
เขาไม่ใช่นักพรตที่ฝึกฝนมากว่ายี่สิบปี แต่เป็นราชาผู้เกรียงไกรยากจะคาดเดา ผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือ
จักรพรรดิหยวนจิ่งพูดเสียงต่ำว่า “ทุกคนถอยออกจากแท่นบูชา ห้ามเข้าใกล้”
เหล่าทหารระดับสูงลุกขึ้นรับคำ รวมถึงเว่ยเยวียนด้วย
จักรพรรดิหยวนจิ่งจัดเสื้อให้ตรง ปัดฝุ่นบนเสื้อออก เปิดประตูวัดออกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เดินเข้าไปข้างใน
…
ข้างต้นหลิว สวี่ชีอันที่ตะโกนออกไปไม่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือที่แปลกประหลาดอีก เมื่อเวลาผ่านไปสติของเขาก็นิ่งสงบลง ในหัวยังมีอาการปวดจากการบาดเจ็บ แต่ไม่ได้ยากที่จะทนเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
ในเวลานี้ เขาถึงมีกำลังไปสำรวจดูสถานการณ์โดยรอบ
สหายข้างๆ จากไปนานแล้ว คุ้มกันเหล่าข้าราชบริพารเชื้อพระวงศ์และราชนิกุลเอาไว้
บนแทนสูงว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ทางเดินยาวที่คดเคี้ยวเต็มไปด้วยทหารระดับสูงซึ่งนำโดยเว่ยเยวียน
จักรพรรดิหยวนจิ่งหายตัวไป
ที่ทำให้สวี่ชีอันแปลกใจที่สุดคือ เทวสถานที่บูชากระบี่เทพในตำนานนั่น ตรงหลังคาถูกผ่าออก ปรากฏเป็นรูขนาดใหญ่รูหนึ่ง
พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเกิดปัญหาขึ้น ความลับของซังผอปรากฏต่อโลกอีกครั้งแล้วเหรอ
ความคิดในใจของสวี่ชีอันแวบเข้ามา กุมหัวที่ปวดเอาไว้ด้วย รวมตัวกับกองกำลังไปด้วย
เนื่องจากฐานะหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาจึงไม่ได้ถูกสกัดกั้น
“เจ้าเป็นอย่างไร” ซ่งถิงเฟิงพิจารณาดูสหายใหม่ “ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”
ซ่งถิงเฟิงไม่ได้เชื่อมโยงอาการแปลกประหลาดของทะเลสาบซังผอเข้ากับความผิดปกติก่อนหน้านี้ของสวี่ชีอันเข้าด้วยกัน
นี่ก็เหมือนกับการที่เจ้าไม่มีทางเชื่อมโยงการคำรามของไก่อ่อนตัวหนึ่งกับแผ่นดินไหวระดับสิบเข้าด้วยกัน
“หลายวันนี้ขยันฝึกฝนมากเกินไป เลยได้รับบาดเจ็บ” สวี่ชีอันหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้วพูดว่า “ค่อยยังชั่วที่ดีขึ้นแล้ว จริงสิ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกัน”
“ไม่รู้” ซ่งถิงเฟิงส่ายหัว กวาดตามองรอบๆ แสดงท่าทางระแวดระวังไปพลางพูดเสียงต่ำพลาง
“จู่ๆ วัดหย่งเจิ้นซานเหอก็ระเบิดออก มีไอกระบี่พุ่งออกจากเทวสถาน ทำให้ทั้งทะเลสาบซังผอปะทุราวกับแผ่นดินไหว แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนจะไม่ใช่ฝีมือพวกนักฆ่า”
สวี่ชีอันมองไปทางแท่นสูงอีกครั้ง รูบนหลังคานั่นถูกไอกระบี่ทำให้ทะลุเหรอ กระบี่เทพมีพลังเช่นนี้ เช่นนั้นที่ข้าช่วยเหลือเมื่อครู่นี้ จะต้องไม่ใช่พวกวิญญาณกระบี่เป็นแน่
เขาหรี่ตาชั่วขณะ เก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ ตกตะกอนความคิดทั้งหมด จากนั้นก็รีบเร่งไปหาองค์หญิงใหญ่ คำนับกล่าวว่า
“องค์หญิงใหญ่ไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”
สถานการณ์กลับสู่ปกติแล้ว แม้ว่าจะมีเสียงกระซิบกระซาบ แต่โดยรวมก็สงบมาก ต่างก็รอจักรพรรดิหยวนจิ่งออกมา
พอสวี่ชีอันพูดออกมา ทำให้ดึงความสนใจของคนรอบข้างด้วย มีสหายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีทหารองครักษ์ แล้วก็มีองค์หญิงใหญ่ รวมถึงเหล่าขุนนางเชื้อพระวงศ์ข้างกายนาง
หน้าตาองค์หญิงใหญ่งดงาม สีหน้ากลับเย็นชาราวน้ำแข็ง นางเอียงหัว นัยน์ตาราวผืนน้ำในฤดูใบไม้ร่วงสะท้อนเงาร่างสวี่ชีอันออกมา น้ำเสียงมีความเย็นชาราวหยกกระทบกัน
“ข้าไม่เป็นไร!”
สวี่ชีอันโล่งอก “กระหม่อมก็วางใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง