และความลับนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสียงขอความช่วยเหลือที่ข้าได้ยินมากกว่าครึ่ง ถึงขั้นที่ว่า…ถึงขั้นที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นก็เพราะข้า…สวี่ชีอันตกใจในการคาดเดาของตัวเอง
เขาเป็นตำรวจฝ่ายอาชญากรรมผู้เติบใหญ่แล้ว มีตรรกะความคิดละเอียดรอบคอบ จึงไม่ได้เชื่อสนิทใจว่าตนคือ ‘ฆาตกรตัวจริง’ ในทันที แต่กล่าวอย่างเด็ดขาดว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัย
เรื่องราวยังมีความเป็นไปได้อื่นอยู่อีก แม้ว่าจะตรวจสอบจากซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวดูแล้วรู้ว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือก็ตาม
แต่ยังไม่แน่หรอกว่าจะเป็นตัวเขาที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้
ทะเลสาบซังผอมีความลับซ่อนอยู่ อีกอย่างก็เป็นความลับที่มีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งผู้เดียวที่รู้ เป็นไปได้ว่าความวุ่นวายครั้งนี้อาจจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นเพราะความพิเศษของตัวเขา จึงได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินขึ้นมา
‘ความพิเศษของตัวข้า…น่าจะเป็นความสามารถเก็บเงินได้อย่างน่าประหลาดนี่แหละ’ ความรู้สึกของสวี่ชีอันซับซ้อนยิ่ง มีทั้งความกระหายรู้อย่างแรงกล้าและความกังวลใจที่จะตามหาความจริง เพราะกลัวว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ตนในวัยแบบนี้จะทนรับไม่ไหว
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษก็เสร็จสิ้น
ทหารรักษาพระองค์และบุคคลระดับสูงของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคุ้มครองเชื้อราชวงศ์และขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายจากไป พวกสวี่ชีอันจึงเลิกงานได้อย่างโล่งอก
“แปลกจริง ที่แท้แล้วมีอะไรอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอกันแน่”
ระหว่างทางกลับ ซ่งถิงเฟิงมีสีหน้าผ่อนคลาย เริ่มซุบซิบนินทาระบายเรื่องที่อยู่ในใจ
“เบิกตาดูทางด้วย หลี่หรงเฮ่า[1]” สวี่ชีอันหัวเราะพลางเล่นมุก พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตนเพื่อให้ใจสงบ
“ผู้ใดคือหลี่หรงเฮ่า” ซ่งถิงเฟิงถามกลับด้วยความสงสัย
สวี่ชีอันไม่สนใจเขา
เหล่าฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ก็กำลังพูดถึงความผิดปกติเมื่อครู่เช่นกัน
“เมื่อครู่คือปราณกระบี่ใช่หรือไม่ ข้าไม่เคยเห็นปราณกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ฆ้องทองคำจางที่เลี้ยงดูจิตกระบี่ก็ยังเทียบไม่ได้เลย” ฆ้องทองแดงผู้หนึ่งกล่าว
“ตกใจหมด เมื่อครู่ข้าคิดว่าจะมีนักฆ่าเสียแล้ว ข้าว่านักฆ่าที่น่ากลัวขนาดนี้จะเข้ามาในเมืองหลวงได้อย่างไร เมืองหลวงของพวกเขามีทั้งท่านโหราจารย์และท่านราชครูประจำอยู่เชียวนะ”
“พวกเจ้าว่าในวัดนั่นมีอะไรอยู่กันแน่”
คำถามนี้ทำให้เหล่าฆ้องทองแดงต่างมองหน้ากัน ตอบไม่ได้
“มันคือกระบี่ที่องค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรใช้สู้ศึกในสนามรบเมื่อสมัยนั้น” สวี่ชีอันกล่าว
ทุกคนพากันหันมามอง ท่าทีของพวกฆ้องทองแดงในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่อสวี่ชีอันมีอยู่สองขั้ว
บางคนอยากคบหากับเขา บางคนก็อิจฉาริษยาเขา
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ที่สามารถทำให้ฆ้องทองคำสองคนต่อสู้แข่งกันยกใหญ่ได้ ต่อไปเจ้าหนูนี่จะต้องมีอนาคตไร้ที่สิ้นสุดแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องได้เป็นฆ้องเงิน
“เจ้าจะไปรู้อะไร” มีคนเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นมา
“ไปถามศิษย์พี่รุ่นก่อนเอาเองสิ” สวี่ชีอันก็ยิ้มเยาะเช่นกัน
คนเหล่านี้ล้วนเป็นฆ้องทองแดงอายุน้อย ไม่ค่อยรู้เรื่องสงครามด่านซานไห่นัก แต่ฆ้องทองแดงและฆ้องเงินคนเก่าๆ น่าจะรู้เรื่องในอดีตที่จักรพรรดิหยวนจิ่งได้อัญเชิญกระบี่เทพออกมามอบให้อ๋องสยบแดนเหนือดี
ที่น่าพูดถึงคืออ๋องสยบแดนเหนือดำรงตำแหน่งชินอ๋อง[2] เป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ราชทินนามที่แท้จริงคือไหวอ๋อง
อ๋องสยบแดนเหนือคือคำเรียกอย่างเคารพของไหวอ๋อง เพราะเขารักษาการณ์อยู่ทางเหนือ คอยสยบชนเผ่าทุ่งหญ้าพวกนั้น
ชินอ๋องมีอยู่มากมาย แต่อ๋องสยบแดนเหนือมีเพียงคนเดียว
เมื่อสังเกตเห็นกลิ่นความขัดแย้งของสวี่ชีอันกับฆ้องทองแดงผู้นั้นแล้ว ฆ้องทองแดงทุกคนก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นอย่างแนบเนียน
พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษครั้งนี้น่าตกใจแต่ไม่มีอันตราย เมื่อภารกิจเสร็จลุล่วงด้วยดีแล้ว เหล่าฆ้องทองแดงก็พูดคุยปรึกษากันว่ายามเย็นจะไปที่สำนักสังคีตหรือหอนางโลมที่คุ้นเคยแห่งไหนดี
นี่เป็นยุคสมัยที่แห้งแล้งน่าเบื่ออย่างยิ่ง กิจกรรมบันเทิงและการเข้าสังคมของเหล่าชายหนุ่มนั้น นอกจากจะไปฟังดนตรีที่หอคณิกาแล้ว ก็มีเพียงไปนอนกับผู้หญิงที่หอนางโลมเท่านั้น
น่าเบื่อจริงๆ!
…
เมื่อกลับมายังที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ใจสั่น รู้แล้วว่า ‘กลุ่มแชทหนังสือปฐพี’ เกิดการเคลื่อนไหว
เขาอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมา มองเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนกำลังเรียกปรึกษาตนกับหมายเลขหนึ่ง
‘เก้า: หมายเลขหนึ่ง หมายเลขสาม พิธีไหว้บรรพบุรุษเสร็จสิ้นแล้วเกิดเรื่องอะไรหรือถึงได้วุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้’
หมายเลขหนึ่งไม่ได้ตอบกลับ แต่เป็นคนอื่นที่มากินเผือกอย่างคึกคักอย่างยิ่งแทน
‘สอง: ท่านนักบวช พูดเช่นนี้หมายความว่าอะไรหรือ จักรพรรดิหยวนจิ่งเจอมือสังหารในพิธีไหว้บรรพบุรุษหรือ ตายหรือยัง ฮ่าๆ’
สวี่ชีอันกล้ายืนยันเลยว่าหมายเลขสองผู้นี้ต้องไม่ใช่คนในราชสำนักแน่นอน นอกจากว่าเขา (นาง) ไม่คิดจะพบหน้าหมายเลขหนึ่งกับตนไปชั่วชีวิต
ถ้าหากวัยรุ่นขี้โมโหหมายเลขสองผู้นี้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของข้าล่ะก็ คงถูกตำรวจประชาชนตามหาทางอินเทอร์เน็ตแล้วไปเชิญมากินข้าวแดงที่สถานีตำรวจบ่อยๆ แน่
‘เก้า: ข้ากำลังนั่งสมาธิอยู่ แต่จู่ๆ ก็มองเห็นปราณกระบี่สายหนึ่งจากทะเลสาบซังผอพุ่งทะลวงผ่านท้องฟ้าไป เหมือนกับปราณใสทะลวงขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ในวันนั้น’
‘สอง: ยอดฝีมือคนไหนมาลอบสังหารล่ะ’
‘เก้า: กระบี่สมบัติประจำอาณาจักรเล่มนั้นคือกระบี่ของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่ง หลังจากต้าฟ่งก่อตั้งอาณาจักรแล้ว มันก็ถูกชำระล้างด้วยโชคชะตาของอาณาจักรทุกวันจนกลายเป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชะตาของอาณาจักรต้าฟ่ง ตามหลักแล้ว อาวุธหนักๆ เช่นนี้ไม่น่าจะเกิดความผิดปกติขึ้นได้’
หลังจากหมายเลขสองพูดจบ นักบวชเต๋าจินเหลียนหมายเลขเก้าก็ส่งข้อความต่อมาติดๆ
หมายเลขสองเห็นว่าตนเขียนแทรกแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก รออยู่สิบกว่าวินาที เมื่อเห็นว่านักบวชเต๋าจินเหลียนพูดจบแล้ว เขา (นาง) จึงส่งข้อความต่อ
‘สอง: ดังนั้นแล้ว ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’
‘สี่: อะไรนะ กระบี่เทพคุ้มเมืองคืนชีพแล้วหรือ มียอดฝีมือระดับหนึ่งไปที่เมืองหลวงแห่งต้าฟ่งแล้วดึงดูดอาวุธเทพชิ้นนั้นใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้น ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้กระบี่เทพคุ้มเมืองฟื้นคืนมาได้’
เห็นได้ชัดว่าหมายเลขสี่ตกใจมาก เขาเคยเป็นขุนนางในราชสำนัก เข้าใจเรื่องของต้าฟ่งดีไม่น้อยไปกว่าหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสาม ถึงขั้นมากยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
‘ห้า: ข้าสนใจแค่ว่าจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งตายหรือไม่เท่านั้น ถ้าเขาตาย หม่าม้า[3]จะได้เอาไปบอกอาเตี่ย[4]’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง