Pream Part
.
หนึ่งวันก่อนวันแต่งงาน
.
“เดินลงมาทำไม” คริสรีบเดินเข้ามาใกล้ทันทีที่เห็นฉัน เขาเดินประกบฉันเหมือนลูกเป็ดติดแม่ก็ไม่ปาน
“ฉันก็อยากลงมาดูงานของตัวเองบ้างสิ” ฉันตอบก่อนจะเดินดูงานที่เตรียมพร้อมเกือบสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์แล้วอย่างพึงพอใจ ขาดก็แต่ดอกไม้เพราะจะลงตอนเช้ามืดเพื่อไม่ให้มันเหี่ยวจนถ่ายรูปออกมาไม่สวย
“แต่อากาศมันร้อน” คริสยังคงพูดไม่หยุด ฉันจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิดที่มีคนมาวุ่นวาย ก่อนจะหันไปแย้งเขาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ไม่ได้ร้อนจนทนไม่ไหวขนาดนั้น” พูดจบฉันก็ทำท่าจะเดินดูงานต่อ
“แต่...”
“นี่คริส” ฉันหันกลับไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าที่เริ่มจริงจัง “นี่มันงานก็แต่งงานของฉันเหมือนกันนะ นายจะไม่ให้ฉันลงมาดูความเรียบร้อยเลยเหรอ”
“แต่เธอกำลังท้อง ฉันไม่อยากให้เธอเหนื่อย”
“ฉันแค่ท้อง ไม่ได้ป่วยระยะสุดท้าย! ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง นายอย่าเวอร์ไปหน่อยเลย”
“ทำไมพูดแบบนั้น ฉันแค่....”
“เอาเถอะ” ฉันไม่สนใจฟังว่าคริสจะพูดอะไรอีกต่อไป ยิ่งคุยกับเขาก็ยิ่งหงุดหงิด ช่วงนี้เขาขัดใจฉันทุกเรื่องจนฉันเริ่มเหม็นขี้หน้าเขาแล้ว “ฉันเข้าบ้านก็ได้”
พูดจบฉันก็รีบเดินเข้าบ้านทันที อารมณ์อ่อนไหวของคนท้องทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้ง่าย ๆ คริสทำเหมือนว่าฉันเป็นคนป่วย ห้ามนู่นห้ามนี้ฉันทุกอย่าง แม้แต่งานแต่งของตัวเองเขายังไม่ให้ฉันลงไปยุ่งเลย ฉันมีหน้าที่แค่บอกสิ่งที่ชอบและอยากให้มีในงานแต่ง ลองชุด เลือกของชำร่วย เลือกแบบการ์ด เลือกอาหาร และทุกอย่างต้องเอามาให้ฉันเลือกและทำที่บ้านเหมือนฉันเป็นคนพิการ เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้ ส่วนเรื่องหน้างานไม่ต้องพูดถึง ฉันไม่มีสิทธิ์ได้ลงไปดูงานของตัวเองด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่จัดในบ้านตัวเอง มันเกินไปหรือเปล่า
เขาทำเหมือนว่าฉันไม่มีประโยชน์อะไรถ้าลงไปยุ่งวุ่นวายกับตรงนั้น ฉันไม่ชอบที่คนอื่นปฏิบัติกับฉันเหมือนว่าฉันเป็นคนไร้ประโยชน์แบบนี้ ฉันแค่ท้อง ไม่ได้เป็นภาระใครซักหน่อย
“แม่พรีม!” เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้ฉันชะงักเท้าลง “ทำไมเดินเร็วแบบนั้น”
“คือ...หนู...” ฉันพูดไม่ออก สีหน้าแม่ดูจริงจังมาก คงเพราะว่าฉันเดินเร็วแถมเดินลงส้นเสียงดังด้วย แม่ไม่ชอบเพราะมันดูไร้มารยาท ถ้าเป็นเมื่อตอนเด็ก ๆ ฉันคงถูกทำโทษไปแล้ว
“กำลังท้องกำลังไส้อย่าเดินเร็วและอย่าเดินลงส้นแรง ๆ แบบนี้” ฉันอ้าปากค้างเพราะสิ่งที่คิดไว้มันผิดไปหมด ฉันคิดว่าจะโดนแม่ดุเพราะเรื่องที่เดินเสียงดังเสียอีก “ยังมาทำหน้างงอีก คุณหมอไม่ได้บอกหรอกหรือ”
“บะ...บอกค่ะ” ฉันตอบกลับเสียงอ่อย หมอสั่งห้ามฉันเดินเร็วและแรงเด็ดขาด เพราะท้องแฝดมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดสูง อะไรที่ทำให้ครรภ์กระทบกระเทือนได้ต้องเลี่ยงให้หมด
“บอกแล้วทำไมยังเดินแบบนี้อีก”
“คือหนู...”
“พรีม” ฉันยังไม่ทันได้คิดหาข้อแก้ตัว คนที่ฉันเดินหนีมาก็เดินเข้ามาเสียก่อน
“ทะเลาะกันมาเหรอ” คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนแบบแม่ มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเราสองคนมีเรื่องบาดหมางกัน ทั้งฉันและคริสไม่มีใครยอมตอบออกไป แม่จึงเอ่ยจัดแจงทุกอย่างด้วยตัวเอง
“คริสกลับไปดูงานต่อเถอะ ส่วนแม่พรีมเดี๋ยวฉันจัดการเอง” คริสมองหน้าฉันอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมเดินจากไปเพราะไม่อยากขัดใจแม่ “ส่วนแม่พรีม มานี่กับแม่”
“ค่ะ” ฉันเดินคอตกตามแม่ขึ้นชั้นสองของบ้านไป แม่เดินไปที่ห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะหยุดที่หน้าต่างบานหนึ่ง
“ดูนี่สิแม่พรีม” แม่ชี้ให้ฉันดูลานของบ้านที่ตอนนี้ถูกตบแต่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่งที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ฉันมองตามลงไปก็เห็นว่าทีมงานทุกคนกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง และผู้ชายคนนั้น... คริส... เขาเดินตรวจงานท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด ฉันเห็นเขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อที่ขมับหลายต่อหลายครั้ง “เห็นไหมว่าคริสเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องจัดการงานทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าทำให้เขาต้องเหนื่อยเพิ่มเพราะต้องตามง้อเรา”
“แต่เขาทำเหมือนว่าหนูเป็นคนป่วย คอยห้ามคอยวุ่นวายทุกเรื่อง หนูไม่ชอบที่เขาทำแบบนี้เลยค่ะ”
“พรีมพูดเหมือนคุณตอนท้องเลย” ฉันหันไปมองพ่อที่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ “ตอนแม่ท้องแม่เขาก็พูดแบบนี้เวลาที่พ่อคอยห้ามอะไร จำได้หรือเปล่าคุณพิมพ์?”
แม่ไม่ได้ตอบพ่อ ไม่ได้เอ่ยค้าน ไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างไร้จุดหมายแทน ดวงตาของแม่ดูเศร้าลงจนฉันใจหาย ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นแม่เศร้าแบบนี้มาก่อน...บนฟ้านั่น มันมีอะไรอย่างนั้นเหรอ
“คนที่ถูกดูแลอาจจะรู้สึกอึดอัด ไม่ชอบใจ แต่เชื่อเถอะว่าคนที่เขาคอยจู้จี้จุกจิกน่ะ เขาไม่ได้หวังอะไรนอกจากให้พรีมสุขภาพดีหรอกนะลูก” เสียงของพ่อทำให้ฉันละสายตาจากแม่มามองพ่อแทน พ่อส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวฉันเบา ๆ “คริสน่ะ เขาวิ่งวุ่นทุกเรื่องตั้งแต่ที่กลับมาจากออสเตรเลียรอบก่อน เขาเข้ามาขอลูกกับพ่อและแม่อย่างเป็นทางการ จัดการงานทุกอย่างคนเดียว ที่เขาทำแบบนี้เพราะเขาไม่อยากให้พรีมลำบากไงลูก เขาไม่ได้คิดว่าหนูป่วย แต่เขาห่วงพรีมกับลูกมากนะ”
คำพูดของพ่อทำให้ฉันหันกลับไปมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่เดินตรวจงานอยู่ข้างล่างอีกครั้ง เสื้อเชิ้ตที่คริสใส่อยู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนตกน้ำมา แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่คิดจะหยุดพัก ยังคงเดินดูงานและแก้ไขส่วนที่ยังบกพร่องต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ปริปากบ่นซักคำ
จู่ ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา...
.
.
“คริส”
“อ้าวพรีม ยังไม่นอนอีกเหรอ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ” คริสขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ยอมขึ้นไปนอน ทำท่าจะพูดอะไรต่ออีก แต่ก็เหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อน คิ้วเข้มจึงค่อย ๆ คลายลงทีละนิด เขาหันหน้าไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม “โทษทีนะ ลืมไปว่าเธอไม่ชอบให้ฉันจุกจิกแบบนี้”
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ส่วนเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ฉันมองเขา ส่วนเขาก็มองไปทางอื่น เป็นแบบนั้นอยู่เกือบห้านาที ในที่สุดเขาก็ยอมพูดขึ้นก่อน
“งั้นฉันไปนอนก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิ” ฉันรีบคว้าแขนของคริสไว้ทันทีที่เขาทำท่าว่าจะเดินจากไปจริง ๆ วันนี้คริสมานอนที่บ้านเพราะงานเริ่มเช้าและจะลากยาวไปจนถึงค่ำ วันงานพรุ่งนี้คงวุ่นวายมาก หลังจากนี้เราคงไม่มีเวลาได้คุยกันเท่าไหร่ ฉันเลยต้องรอเจอเขาเพื่อพูดบางอย่างก่อนแบบนี้
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เรื่องเมื่อกลางวัน...ฉันไม่ได้โกรธหรอกนะ”
“...”
“ฉันแค่เป็นห่วงเธอ แต่อาจจะมากไปหน่อย ฉันยอมรับว่าฉันขี้ระแวงมากเกินไป ฉันต้องขอโทษเหมือนกัน”
“...”
“แต่ต่อไปนี้ฉันสัญญา ว่าจะพยายามหาตรงกลางระหว่างเราให้มากที่สุด ไม่ตึงเกินไปเหมือนก่อนหน้านี้ เราทั้งคู่จะได้สบายใจมากขึ้น”
“...”
“และอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ”
.
.
วันแต่งงาน
.
ฉันลุกขึ้นมานั่งให้ช่างจับแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่ตีสี่ พิธีการตอนเช้าตรู่คือพิธีสงฆ์ เมื่อแต่งหน้าทำผมเสร็จชุดไทยสวยงามสีงาช้างก็ถูกบรรจงสวมลงบนตัวฉัน โชคดีที่ถึงแม้ตอนนี้จะตั้งท้องได้เกือบสี่เดือนแล้ว แต่หน้าท้องก็ยังไม่ได้ขยายมากนัก อาจจะเพราะว่าฉันรูปร่างค่อนข้างบางอยู่แล้วด้วยละมั้ง ถ้าไม่สังเกตคงไม่มีใครเห็นหน้าท้องที่นูนขึ้นมานิดหน่อย หรือต่อให้สังเกตก็ไม่ได้ชัดมากขนาดนั้น อย่างมากก็คิดว่าฉันอ้วนลงพุงปกติ
เรื่องท้องนอกจากบ้านฉัน บ้านคริส บ้านพี่มาเฟีย และเพื่อนสนิทของคริสแล้วไม่มีใครรู้อีกเลย ฉันคุยกับพ่อแม่แล้วว่าจะอยู่ที่ออสเตรเลียอีกสองปี รวมถึงจะคลอดแฝดที่นั่น ซึ่งพ่อก็เห็นด้วย เพราะจะได้ไม่ถูกนินทาเรื่องท้องก่อนแต่ง ตอนแรกแม่ก็ดูเหมือนว่าจะคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจฉัน เพราะได้พ่อมาช่วยคุยให้
ถึงแม้ว่าแม่จะดูเหมือนเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านหลังนี้ แต่ก็มีหลายเรื่องเหมือนกันที่แม่ยอมฟังพ่อเป็นหลัก เมื่อก่อนฉันไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของแม่มากนัก แต่หลัง ๆ มานี้เหมือนแม่จะฟังพ่อมากขึ้น
“อึดอัดไหมแม่พรีม” แม่เอ่ยถามเมื่อคนที่ช่วยแต่งตัวดึงผ้าให้ตึงกว่าเดิม เพราะเขาไม่รู้ว่าฉันกำลังท้องเลยแต่งตัวให้ฉันค่อนข้างแน่นเพื่อกันหลุดระหว่างทำพิธี ฉันส่ายหน้าไปมาเบา ๆ เพื่อตอบแม่ อัดอัดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้อึดอัดมากจนทนไม่ไหว
“ชุดนี้ต้องใส่นานหน่อย ทั้งใส่ทำพิธีสงฆ์ แห่ขันหมาก และรดน้ำสังข์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกไม่สบายตัวให้รีบบอก เข้าใจหรือเปล่า” แม่เอ่ยย้ำจนฉันต้องรับปาก
“เข้าใจค่ะ”
เมื่อแต่งตัวเสร็จฉันก็ถูกพาลงไปข้างล่าง เพื่อนเจ้าสาวของฉันมีเพียงแค่สองคนคือนับดาวและแซนดี้ นับดาวมาช่วยงานที่บ้านได้หลายวันแล้ว ส่วนแซนดี้และนิโคลัสเพิ่งบินมาถึงเมื่อวาน ทั้งคู่ไม่ได้บินมาด้วยกันหรอกนะ แต่ไฟลท์ก็ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่ แซนดี้มาถึงก่อน พอมาถึงก็เข้ามาสวัสดีพ่อกับแม่ พวกท่านแม้จะไม่เคยเจอแซนดี้มาก่อนก็ต้อนรับขับสูแซนดี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแม่ที่สร้างความแปลกใจให้ฉันหลายครั้ง ดูเหมือนว่าตั้งแต่รู้ว่าฉันท้องท่านก็เปลี่ยนไป ไม่บังคับกะเกณฑ์ฉันเท่าแต่ก่อน
ทันทีที่ปลายเท้าของฉันแตะลงบนพื้นบ้านของชั้นล่าง ทุกสายตาก็จ้องมองมาที่ฉันเหมือนกำลังรอคอย แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปเริ่มสาดเข้ามาจนแอบตาพร่าเล็กน้อย แต่ท่ามกลางสายตาหลายสิบคน และกล้องหลายต่อหลายตัว ฉันกลับรู้สึกประหม่ากับสายตาของคน ๆ เดียวอย่างไร้เหตุผล
สายตาของผู้ชายตัวโต ที่มีลักยิ้มทั้งสองข้างเป็นเอกลักษณ์นั่น....
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด