Pream Part
.
“ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ต้องพยายามให้คนไข้พักผ่อนให้มาก ๆ ยิ่งตั้งครรภ์อยู่แบบนี้ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ” ฉันพยายามลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย แสงที่ลอดเข้ามาทำให้ตาพร่าไปหมด พยายามปรับสายตาอยู่สักพักก็เริ่มรับแสงได้
“พรีม!” แซนดี้รีบเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าฉันขยับตัว “เป็นยังไงบ้าง”
“ขอ...น้ำ” ฉันบอกแซนดี้เสียงแหบ รู้สึกคอแห้งจนเจ็บ เหมือนมีทรายนับพันเม็ดมากองอยู่ในนั้น
“นี่น้ำ ค่อย ๆ จิบนะ” ฉันค่อย ๆ จิบน้ำอย่างที่แซนดี้บอก เมื่อรู้สึกพอแล้วก็หันหน้าหนี
“เอาอะไรอีกไหม”
“ไม่” ฉันส่ายหน้า ก่อนจะมองไปรอบ ๆ “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ที่นี่ ที่ฉันพูดถึงหมายถึงโรงพยาบาล เพราะตอนนี้ฉันนอนอยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลซักโรงพยาบาลหนึ่ง ฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง สิ่งเดียวที่จำได้คือฉันพยายามโทรหาคริสหลายสายแต่คริสไม่รับ
“มือถือฉันล่ะ”
“อยู่นี่” แซนดี้ชูมือถือที่คุ้นตาของฉันขึ้น ฉันพยายามหยิบ แต่แซนดี้กลับดึงกลับไปเสียก่อน
“ทำไม?”
“นานแค่ไหนแล้ว”
“ห้ะ?” ฉันมองแซนดี้ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร “เธอพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“ฉันถามว่านานแค่ไหนแล้ว...” แซนดี้เสียงดังขึ้นเล็กน้อย “นานแค่ไหนแล้วที่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายเธอ”
“ใคร”
“คริสไง!” แซนดี้ตวาดเสียงดัง ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ “นานแค่ไหนแล้วที่เขาไปไหนมาไหนกับผู้หญิงคนอื่นออกนอกหน้าแบบนี้ นานแค่ไหนแล้วที่เธอรู้ นานแค่ไหนแล้วที่เธอเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว”
“...”
“ทำไมไม่บอกฉัน ทำไมไม่ให้ฉันช่วยแบ่งเบาบ้าง แค่ระบายมันออกมาบ้างก็ยังดี”
“ฉัน...” ฉันเม้มปากแน่นเมื่อเห็นแซนดี้ยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้า รู้สึกผิดจับใจที่มีความลับกับเธอ ฉันรู้ว่าแซนดี้เป็นห่วงฉันมากกว่าใคร แต่ฉันก็ไม่อยากให้แซนดี้ต้องมาเครียดกับเรื่องแบบนี้
“จำได้ไหมว่าตอนเรียนไฮสกูล เธอทะเลาะกับแม่ ไม่ยอมใช้เงินท่าน เลยออกไปทำงานพาร์ทไทม์”
“...จำได้สิ”
“แล้วสุดท้ายเธอก็ตกงาน ตอนนั้นเธอไม่ยอมยืมเงินฉัน ไม่ยอมใช้เงินที่พ่อกับแม่ส่งมา ฉันเลยกินบะหมี่เป็นเพื่อนเธอไปทั้งอาทิตย์จนเธอหางานพาร์ทไทม์ที่ใหม่ได้”
“...”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นเพื่อนที่อยู่กับเธอแค่เวลาที่เธอสุข แต่ฉันอยากอยู่กับเธอในเวลาที่เธอทุกข์ด้วย ไม่ได้เหรอพิมมี่”
“แซนดี้...”
“ไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่!” ฉันรีบปฏิเสธเสียงสั่น แซนดี้คือเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต ต่อให้ตายฉันก็ไม่มีทางลืมว่าแซนดี้คือเพื่อนของฉัน “ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ ฮือ”
แซนดี้รีบเดินเข้ามากอดฉันไว้ เรากอดกันพร้อมร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก ๆ นานหลายนาทีกว่าเราทั้งคู่จะยอมสงบลง แซนดี้ผละออกห่าง ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าให้ฉัน
“ฉันลืมไปว่าเธอเพิ่งเครียดและพักผ่อนไม่พอจนเป็นลม แถมเพิ่งตื่นขึ้นมาด้วย แต่ฉันกลับมากดดันให้เธอเครียดกว่าเดิมแบบนี้อีก” ดวงตาแดงช้ำหม่นลง ฉันรีบจับมือบางที่ง่วนอยู่กับการเช็ดน้ำตาให้ฉันไว้
“ไม่เป็นไรเลย ถ้าเรื่องนี้จะมีคนผิด...ก็คือฉันเอง”
“ไม่! คนที่ผิดคือคนที่ไม่รู้จักพอต่างหาก” ดวงตาของแซนดี้แข็งกร้าวขึ้น แซนดี้เกลียดผู้ชายเจ้าชู้อยู่แล้ว ยิ่งพอเป็นคนที่เคยเอ่ยปากชมก็เลยโกรธกว่าเดิม เหมือนถูกหักหลัง เหมือนว่ามองคนผิดไป
“เธอเห็นคลิปแล้วใช่ไหม”
“ใช่” แซนดี้ยอมรับออกมา “ตอนที่เธอล้มลง ฉันเก็บมือถือเธอไว้ได้ ตอนที่รอหมอตรวจเธออยู่ จู่ ๆ ก็มีคนคนส่งข้อความมาให้เธอในไอจี ฉันสงสัยก็เลยถือวิสาสะเปิดดู”
แซนดี้รู้รหัสผ่านมือถือฉัน ฉันเองก็รู้รหัสผ่านมือถือของเธอ แต่ไม่เคยเลยซักครั้งที่เราจะก้าวก่ายกัน เรารู้ไว้เพียงเพื่อถ้าเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นได้สามารถเปิดมือถืออีกคนเพื่อหาเบอร์ติดต่อญาติได้
“มันเป็นคลิปของคริสที่กำลังพูดคุยและหัวเราะกับผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันลองเลื่อนดูก็เห็นว่าเธอได้รับคลิปแบบนี้มาเกือบสิบคลิปแล้ว”
“อืม ได้มาครั้งแรกเมื่อสองอาทิตย์ก่อน” ฉันยอมสารภาพ ไม่อยากปิดบังแซนดี้อีกแล้ว รอบนี้เข็ดจริง ๆ
“ถ้าแค่คลิปเดียวฉันคงไม่คิดอะไร แต่นี่ภายในสองอาทิตย์เธอได้มาเกือบสิบคลิป พวกเขาออกไปเจอกันบ่อยขนาดนี้ แบบนี้มันไม่ปกติเลยนะ”
“ฉันรู้” ฉันขยำผ้าห่มที่คลุมร่างกายท่อนล่างไว้ “แต่ฉันไม่กล้าถามเขา”
“ทำไม เธอเป็นเมียนะ มีสิทธิ์ถามทุกอย่าง มีสิทธิ์ไม่พอใจด้วย”
“เพราะฉันเป็นเมีย เมียที่เขาไม่ได้รักไงแซนดี้ มันไม่ต่างอะไรจากเมียในนามหรอก ฉันไม่มีสิทธิ์” ฉันบอกเพื่อนไปก็เหมือนตอกย้ำตัวเองไปด้วย คำว่าไม่สิทธิ์มันก้องอยู่ในหัวฉันตลอดเวลา
“เธอจะบอกว่าที่คริสทำดีกับเธอ ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ที่คอยดูแลเอาใจใส่เธอทุกอย่าง เขาทำแบบนั้น แต่เขาไม่ได้รักเธอเลยอย่างนั้นเหรอ” แซนดี้ถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะสิ่งที่แซนดี้เห็นมันไม่เหมือนกับที่ฉันพูดเลยนี่นะ ถ้าใครมาเห็นตอนที่คริสดูแลเอาใจใส่ฉันก็คงคิดว่าคริสรักฉันมากทั้งนั้น
ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
“เขาไม่ได้รักฉัน ถ้ารัก...เขาคงไม่ทำแบบนี้”
“เขาไม่ได้รักเธอ” แซนดี้จ้องตาฉันเหมือนอยากค้นหาคำตอบ “แล้วเธอล่ะ รักเขาหรือเปล่า”
“ฉัน...”
“...”
“...รักเขา”
.
.
วันนั้นคริสโทรกลับมา เขาดูตกใจเพราะฉันโทรหาเขาหลายสาย ฉันอ้างว่ามือถือรวน ไม่ได้มีอะไรสำคัญ และไม่ได้บอกเรื่องที่ฉันพักผ่อนน้อยจนเข้าโรงพยาบาลให้เขาฟัง รวมถึงกำชับแซนดี้ไม่ให้บอกคริสด้วย แซนดี้รับคำทันที เธอดูโกรธคริสมากจริง ๆ คริสเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร เขายังทำตัวเหมือนเดิม โทรมาหาฉันบ้าง ทักมาถามบ้างว่าแต่ละวันเป็นยังไง เราคุยกันแค่นั้นจริง ๆ ตอนที่ฉันนอนโรงพยาบาลเป็นช่วงวันหยุดพอดี เลยไม่ต้องลางาน เรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเลยมีแค่แซนดี้ที่รู้คนเดียว
หลังจากนอนที่โรงพยาบาลสองวันเต็ม ฉันก็เริ่มตระหนักได้ว่าควรรักตัวเองและลูก ๆ ให้มาก ๆ เครียดให้น้อยลง ทำงานให้น้อยลง นอนให้มากขึ้น ฉันเลยเอาเวลาว่างที่ชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปทำอะไรเบา ๆ ที่ไม่เครียดมากแทน อย่างเช่นการถักเสื้อผ้าเตรียมต้อนรับลูก หรือแม้แต่การออกแบบชุดเก๋ ๆ ไว้ให้ลูกใส่เมื่อลูกคลอด จะได้มีเสื้อผ้าใส่แบบที่ไม่เหมือนเด็กคนไหน
ฉันมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ทำอะไรเพื่อพวกเขา ตอนนี้ฉันท้องได้สามสิบสองสัปดาห์แล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ไปตรวจกับหมอมิเชล หมอแจ้งว่าฉันความดันสูงขึ้นมากเกินไป เสี่ยงที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ กินอาหารที่ไม่เค็ม และลดเรื่องเครียดลงบ้าง พอรู้แบบนั้นแซนดี้ก็ประกบฉันไม่ห่าง กลัวว่าฉันจะล้มพับแบบวันนั้นอีก และฉันก็ทำให้แซนดี้เห็นว่าฉันไม่ได้เครียดหรือนอนน้อยแล้ว แถมพอมีอาการอะไรที่ไม่ดีก็รีบบอกแซนดี้ทันที เข็ดแล้วกับการมีความลับกับคนที่ห่วงเราขนาดนี้
แอคเคาน์ปริศนายังคงส่งคลิปมาให้ฉันเหมือนเดิม มันไม่มีอะไรมาก เป็นคลิปที่คริสกับผู้หญิงคนนั้นออกไปเจอกัน ทั้งสองยังคุยเล่นกันเหมือนเดิมและดูเหมือนว่าจะสนิทกันมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันไม่เหมือนว่าเป็นแค่ลูกค้า ฉันเห็นมันจนชิน อยู่กับมันจนชิน จนเหมือนว่าฉันไม่รู้สึกอะไรแล้ว
อันที่จริงก็แค่ เหมือน น่ะนะ เพราะจริง ๆ แล้วฉันก็ยังรู้สึก แต่แค่ตอนนี้ฉันมีเรื่องให้สนใจมากกว่าก็เท่านั้น
“ทำไมดิ้นน้อยขนาดนี้” ฉันลูบท้องและบ่นกับลูกเบา ๆ เพราะว่าวันนี้ลูกดิ้นไม่ถึงห้าสิบครั้ง ซึ่งปกติอายุครรภ์ประมาณนี้ควรดิ้นห้าร้อยครั้งต่อวันด้วยซ้ำ ฉันเริ่มนับครั้งที่ลูกดิ้นมาตั้งแต่ที่เริ่มสัมผัสถึงแรงดิ้นได้ และสองสามวีคมานี้ฉันก็รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง แต่ยังไม่ได้น่ากังวลเพราะยังไม่ได้ลดลงมากเท่าไหร่ มีวันนี้นี่แหละที่ลดลงจนใจหาย หรือเพราะว่าภาวะเครียดของฉันจะส่งผลถึงลูกกันนะ
ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่อยากตื่นตูมจนทำให้ตัวเองเครียดมากกว่าเดิม พรุ่งนี้ก็จะได้ไปหาหมอมิเชลแล้ว จะได้ถามถึงสาเหตุไม่ต้องมานั่งเครียดเองแบบนี้
ฉันนั่งถักเสื้อต่อไปเรื่อย ๆ วันนี้แซนดี้ออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ทำงานเลยจะกลับช้าหน่อย ฉันเองก็ยังไม่ง่วงก็เลยหาอะไรทำเผื่อจะง่วงขึ้นมาบ้าง วันนี้คริสไม่ได้โทรมา ฉันก็ไม่คิดที่จะโทรไป เขาคงไม่ว่างและฉันไม่อยากกวน
ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่มแล้ว ฉันเก็บข้าวของเข้าที่ หยิบมือถือที่ยังคงเงียบกริบและเดินไปที่เตียง ในตอนนั้นเองฉันก็รู้สึกว่าร่างกายของฉันผิดปติ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด