Chris Part
.
ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเวลาสิบชั่วโมงมันจะนานขนาดนี้
.
ผมเดินทางมาคนเดียวด้วยไพรเวทเจ็ทของเนตั้น คนอื่น ๆ ทั้งครอบครัวพรีม ครอบครัวผม และเพื่อน ๆ ของผมจะตามมาทีหลังเนื่องจากทุกคนต้องรอทำเรื่องขอวีซ่า โชคดีที่ผมยังมีวีซ่าที่สามารถเข้าออสเตรเลียได้โดยไม่ต้องขอใหม่อยู่ และก่อนที่ผมจะขึ้นเจ็ทมา เนตั้นก็บอกกับผมว่าจะพยายามใช้เส้นสายช่วยให้ทุกคนได้วีซ่าเร็วขึ้น ผมได้แต่ฝากความหวังไว้ที่มันเพราะตอนนี้ผมไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย เพิ่งรู้ว่าการมีอำนาจมันดีแบบนี้ก็วันนี้นี่เอง
ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวและติดต่อใครไม่ได้ คนเดียวที่ได้เจอและได้คุยด้วยคือเนตั้น ผมไม่ได้แวะไปเจอใครก่อนเพราะต้องรีบเดินทางโดยเร็วที่สุด ทำให้ตอนนี้ความคิดของผมดิ่งมากเพราะไม่มีใครคอยดึงไว้ รวมถึงผมไม่มีโอกาสได้รู้ความคืบหน้าอะไรเลยด้วย ไม่รู้ว่าพรีมผ่าตัดเสร็จหรือยัง ไม่รู้ว่าพรีมกับลูกจะปลอดภัยไหม เพราะความ ไม่รู้อะไรเลย นี่แหละ มันเลยยิ่งทำให้ผมกังวลมากกว่าเดิม
ก่อนที่จะขึ้นเครื่องผมได้มีโอกาสหยิบมือถือขึ้นมาดู แบตเตอรี่ที่เคยเต็มขึ้นเตือนสีแดง สายที่ไม่ได้รับกว่าห้าร้อยสายจากทั้งเพื่อนผม ทั้งพ่อแม่พรีม ป๊าม้า ครีม นับดาว แซนดี้ รวมถึงนิโคลัสทำให้ผมอยากชกตัวเองแรง ๆ ทุกคนรู้เรื่องนี้หมดและพยายามติดต่อผมอย่างสุดความสามารถ มีแค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลยเพราะมัวแต่เสียเวลาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ถ้าไม่ได้เนตั้นที่เส้นสายกว้างขวางออกตามหาจนเจอ กว่าผมจะรู้เรื่องก็คงเป็นตอนที่กลับถึงบ้านแล้ว
ผมแม่งโคตรแย่
ต่อให้ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณนัญเลย แต่ผมก็หนีความจริงไม่ได้ ว่าช่วงเวลาที่พรีมกำลังลำบากผมกลับอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ซ้ำร้ายยังปิดเสียงมือถือจนใครต่อใครติดต่อไม่ได้อีก ผมนี่แม่ง..
“แม่งเอ้ย!!” ผมอยากจะต่อยตัวเองซักร้อยครั้ง ถ้าพรีมและลูกเป็นอะไรไป ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย
.
.
ในที่สุดช่วงเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมได้เหยียบแผ่นดินออสเตรเลียตอนสี่โมงเย็นตามเวลาของที่นี่ เมื่อผ่านตม.ได้ผมก็เรียกแท็กซี่อย่างรวดเร็ว ตอนไปผมไปแต่ตัว พอกลับผมก็กลับมาแต่ตัวเหมือนกัน ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่โทรศัพท์มือถือที่แบตหมดไปเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าสตางค์ เอกสารที่สำคัญต่าง ๆ รวมถึงพาสปอร์ต ผมมีแค่นั้นจริง ๆ
ผมยกข้อมือขึ้นดูเวลา เนตั้นบอกว่าพรีมเข้าผ่าตัดตอนเที่ยงคืนที่ออสเตรเลีย ตอนนี้น่าจะรู้ผลแล้วว่าเป็นยังไงบ้าง ผมไม่รู้ว่าตัวเองพร้อมแค่ไหนถ้าเกิดผลมันเป็นลบ แต่ยังไงผมก็ต้องไป ผมต้องไปหาพรีมให้ได้ไม่ว่าเธอและลูกจะเป็นยังไงก็ตาม
เกือบสองชั่วโมงจากสนามบินมาที่โรงพยาบาล มันเป็นสองชั่วโมงที่แสนทรมานมากสำหรับผม เมื่อมาถึงผมก็รีบวิ่งเข้าไปภายในทันที ถามหาพรีมกับเจ้าหน้าที่ด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น และผมก็หายใจได้โล่งขึ้นเพราะห้องที่เจ้าหน้าที่บอกไม่ใช่ห้องที่ผมกลัว แต่เป็นห้องพักพิเศษปลอดเชื้อ
อย่างน้อยพรีมก็ยังมีชีวิตอยู่
ตึก ตึก ตึก
ผมเดินเร็ว ๆ จนแทบจะวิ่งไปตามทางเดินที่เงียบกริบ ชั้นนี้เป็นชั้นผู้ป่วยติดเชื้อ เลยไม่ค่อยมีคนอยู่มากนัก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีคนสองคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ๆ หนึ่งอยู่ดี
“แซนดี้ คุณนิค”
ทั้งสองคนหันกลับมาตามเสียงเรียกของผม นิโคลัสที่เคยร่าเริงอารมณ์ดีตลอดเวลามีสีหน้าเคร่งเครียดและอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแซนดี้ยิ่งหนักกว่า ใบหน้าของเธอซีดเผือดแต่ปลายจมูกและบริเวณรอบดวงตากลับแดงก่ำเพราะร้องไห้อย่างหนัก และตอนนี้น้ำตาของเธอก็ยังไหลออกมาไม่หยุด แซนดี้มองผมเพียงแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับไปมองทางเดิมเหมือนว่าผมไม่มีตัวตน นิโคลัสเห็นแซนดี้เป็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างเป็นห่วง ก่อนที่เขาจะเดินมาใกล้ผม
“แซนดี้ยังช็อคอยู่ เขาเกือบเสียเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตไป” คำพูดของนิโคลัสทำให้หัวใจผมหล่นไปที่เท้า ผมมองผ่านกระจกเข้าไปภายในห้อง พรีมนอนนิ่ง ๆ อยู่ในนั้น ทั้งตัวมีสายอะไรไม่รู้เต็มไปหมด เครื่องวัดชีพจรแสดงให้ผมเห็นว่าพรีมยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ เธอแค่หลับไป เธอยังมีชีวิตอยู่ แค่นี้พระเจ้าก็เมตตาคนแบบผมมากแล้ว
“ผม...” ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นน้ำตา ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาไม่หยุดจนผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
“พรีมปลอดภัยแล้ว” นิโคลัสยื่นมือมาลูบไหล่ผมเบา ๆ ผมรีบก้มหน้าลง เพราะกลัวว่าน้ำตามันจะไหลออกมาประจานความอ่อนแอของตัวเอง “ไปดูลูกไหม”
“ลูก...?”
“ใช่ ลูกของนายกับพรีมไง”
“ปะ...ไปครับ!” ผมบอกอีกคนด้วยเสียงร้อนรน นิโคลัสพูดแบบนี้ก็แปลว่าลูกของผมยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่ใช่ไหม ผมไม่ได้เสียลูกไปใช่ไหม “ไปครับไป ผมอยากเห็นลูก”
“อืม” นิโคลัสปล่อยมือจากผม ก่อนจะเดินไปพูดกับแซนดี้ “ผมพาคริสไปหาลูกเขานะ”
แซนดี้เหลือบตามามองผม เพียงแค่ครู่เดียวก็หันกลับไปมองพรีมตามเดิม เธอไม่หือไม่อือจนผมรู้สึกละอายแก่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ไปกัน” ผมเดินตามหลังนิโคลัสไปอีกตึกหนึ่ง เมื่อไปถึงแผนกเด็กแรกเกิดผมก็ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่เดินสวนออกมาประปราย ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข อันที่จริงผมกับพรีมก็ต้องเป็นแบบนั้นในเดือนสิงหาคม แต่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่...
“ถึงแล้ว” เสียงของนิโคลัสทำให้ผมรีบดึงตัวเองกลับมาปัจจุบัน และกวาดตามองไปทั่วแผนก ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่คน ๆ หนึ่ง
“มิเชล” คุณหมอที่ยืนมองเด็กในห้องนิ่ง ๆ หันกลับมาตามเสียงเรียก ดวงตาของคุณหมอแดงเล็กน้อยเหมือนยังไม่ได้นอน ใบหน้าดูอิดโรยอ้อนล้า
“คุณพ่อมาดูลูกเหรอคะ”
“ครับ”
“เชิญทางนี้ค่ะ”
นิโคลัสขอตัวกลับก่อนเพราะเป็นห่วงแซนดี้ ตอนนี้เลยมีแค่ผมที่เดินตามหมอมิเชลไป เพียงแค่ครู่เดียวเธอก็หยุดอยู่ตรงหน้าเด็กคนหนึ่ง ใจผมอุ่นวาบขึ้นมาทันที ผมมั่นใจโดยสัญชาติญาณว่าเด็กคนนี้คือลูกผมแน่ ๆ
“คนนั้นคือน้องผู้หญิงค่ะ”
ใช่จริง ๆ ด้วย เธอคือลูกของผม
ผมแตะกระจกใส หวังว่าจะส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปให้ลูก ใบหน้าของลูกจิ้มลิ้มมากจนผมอยากลองสัมผัส แต่ชื่อที่แปะอยู่ก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้
“ลูกผมมีชื่อแล้วเหรอครับ” ใครตั้งชื่อลูกให้ผม พรีมยังไม่ฟื้นไม่ใช่เหรอ?
“พอดีว่าเด็กจำเป็นต้องมีชื่อน่ะค่ะ คุณนิโคลัสเลยตั้งชื่อน้องให้ก่อน เดี๋ยวคุณพ่อค่อยเปลี่ยนทีหลังนะคะ” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันกลับไปมองเด็กทารกตัวแดงอีกครั้ง ลูกผมตัวเล็กกว่าเด็กที่อยู่แถวนั้นมาก และต้องนอนอยู่ในตู้อบต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ที่นอนเตียงเด็กแรกเกิดปกติ แต่ถึงแบบนั้นผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะแม้ว่าหนูน้อยจะมีตัวที่เล็กกว่าแต่ก็ไม่ได้ดูน่าห่วงเหมือนที่กังวล “น้องคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตอนที่ผ่าออกมาแค่ 1,500 กรัม อาจจะต้องอยู่ในตู้อบประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้น้องน้ำหนักมากกว่านี้ค่ะ”
“ครับ” ผมตอบหมอ แต่ยังคงจ้องไปที่ลูกไม่วางตา ผมเฝ้ารอเจอหน้าเขาทุกวัน พอได้เจอแล้วความรู้สึกรักและหวงแหนผุดขึ้นมากลางใจของผมทันที ลูกของผม... ลูกของผมกับพรีม
“แล้วอีกคนล่ะครับ” เมื่อดูลูกสาวจนพอใจผมก็หันกลับไปถามหาลูกชายด้วยรอยยิ้มบาง ๆ หวังเหลือเกินว่าจะได้เจอลูกชายที่ร่างกายแข็งแรงไม่ต่างจากลูกสาวคนนี้
“คือ...” แต่ท่าทีอึกอักของหมอมิเชลก็ทำให้รอยยิ้มของผมค่อย ๆ จางหายไป หัวใจที่พองโตเพราะได้เห็นหน้าลูกสาวค่อย ๆ แฟบลง อาการแบบนี้ของหมอมิเชลหมายความว่ายังไง?
“ลูกชายผมล่ะครับ” ผมถามย้ำด้วยเสียงที่สั่นหวิว ยิ่งหมอมิเชลพยายามหลบตาผมยิ่งร้อนรน เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของผมอย่างนั้นเหรอ?
“ตามหมอมาทางนี้ดีกว่าค่ะ” ผมรีบเดินตามร่างบอบบางของหมอมิเชลไปทันที แต่ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่กลิ่นยาก็เริ่มฉุนขึ้น รวมถึงได้ยินเสียงเครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ ชัดขึ้นด้วย ขาของผมหนักอึ้งจนแทบจะก้าวไม่ออก หมอมิเชลเหมือนรู้เลยคอยหันมามองผมเป็นระยะ
“ถึงแล้วค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด