Chris Part
.
เหมือนว่าลูกชายผมจะรับรู้ได้ว่าผมเชื่อมั่นในตัวเขามากแค่ไหน เพราะเช้าวันต่อมาผมก็ได้รับข่าวดีว่าลูกชายมีอาการที่ดีขึ้น ตอบสนองได้มากขึ้น ถึงจะยังต้องใช้ท่อช่วยหายใจเหมือนเดิม แต่โอกาสรอดก็เพิ่มขึ้นจากยี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ผมรู้ดีว่าตัวเลขห้าสิบมันยังอยู่ในเกณฑ์ที่เสี่ยง แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรดีขึ้นหรือเปอร์เซ็นต์ลดลง พวกเราสามารถหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น ยิ้มได้มากกว่าเดิม มีความหวังมากกว่าเดิม พวกผู้ใหญ่พากันขอบคุณหมอมิเชลยกใหญ่
ส่วนพรีมก็ย้ายมาพักที่ห้องพักพิเศษแล้ว เธอยังมีอาการสะลึมสะลือตอนที่ย้ายออกมาเมื่อเก้าโมงเช้า หมอเลยให้เธอนอนพักก่อน ผมนั่งเฝ้าพรีมกับแซนดี้แค่สองคน นิโคลัสต้องไปทำงานและบอกว่าจะแวะมาตอนเย็น ส่วนครีม คุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่าก็พาไปเยี่ยมหลาน ๆ และยังไม่กลับมา
“พรีม” ผมลุกขึ้นทันทีเมื่อพรีมขยับตัว ดวงตาสวยลืมขึ้นและหลับลงหลายครั้งเหมือนต้องการปรับแสงเพราะหลับไปนาน เมื่อเธอสามารถมองได้เต็มตาผมก็ส่งยิ้มให้เธอ และพรีมเองก็ส่งยิ้มกลับมาบาง ๆ
“รู้สึกยังไงบ้างพิมมี่”
“แซนดี้” พรีมหันกลับไปมองเพื่อน ก่อนจะตอบกลับเชิงหยอกล้อ “รู้สึกนอนจนเต็มอิ่มมาก ไม่นอนอีกสามวันก็ได้”
“พูดได้แบบนี้ก็คงหายดีแล้วม้าง” พรีมหัวเราะน้อย ๆ เมื่อแซนดี้กระเซ้าแบบนั้น ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง
“คริส งานเสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว” ผมก้มลงไปจูบหน้าผากเธอเบา ๆ “ถึงไม่เสร็จก็จะกลับมา”
“เกเรจัง” เธอพูดแค่นั้น ก่อนที่ดวงตาจะเบิกว้างขึ้น “คริส!”
“เป็นอะไร” ผมตกใจไปด้วย เพราะจู่ ๆ พรีมก็ตะโกนชื่อผมขึ้นมาเสียงดัง
“ทำไม...” พรีมเหลือบตามองหน้าท้องตัวเอง “ลูกล่ะ ทำไมท้องฉันแฟบลงแบบนี้ ลูกหายไปไหน!”
“ใจเย็น ๆ นะ” ผมรีบดันไหล่พรีมให้นอนลงตามเดิม เพราะพรีมลุกขึ้นเร็วมากจนกลัวว่าแผลที่ผ่าตัดจะปริเอาได้ “ลูกอยู่ข้างนอก”
“ข้างนอก? หมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าฉันแท-”
“ไม่ใช่” ผมรีบปฏิเสธทันทีเมื่อพรีมเข้าใจผิดไปไกลแบบนั้น “มันหลายเรื่องน่ะ ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง คร่าว ๆ เลยคือเธอคลอดก่อนกำหนด ตอนนี้ลูกอยู่ข้างนอกแล้ว ในนี้...” ผมวางมือที่หน้าท้องของพรีมเบา ๆ “ไม่มีอะไรแล้ว”
พรีมดูโล่งใจขึ้นที่ไม่ได้แท้งอย่างที่กลัว แต่ดวงตาก็ยังมีแววของความกังวลอยู่ “แล้วลูกเป็นยังไงบ้าง ฉันยังไม่ได้อุ้มลูกเลย”
“ตัวเล็กมาก หมอเลยให้นอนในตู้อบ ยังพามาให้เธออุ้มไม่ได้ ฉันเองก็ยังไม่ได้อุ้มเหมือนกัน”
“อย่างนั้นเหรอ”
“ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้น” ผมเอื้อมมือไปนวดหัวคิ้วของพรีมให้คลายออก ขนาดผมยังไม่ได้เล่าเรื่องของลูกชายให้ฟังพรีมยังดูเครียดขนาดนี้
“คลอดก่อนกำหนดแบบนี้ลูกจะเป็นอะไรไหม” เมื่อพรีมเปิดประเด็นขึ้นแบบนั้นผมก็ชั่งใจ ไม่อยากเก็บเรื่องลูกชายเป็นความลับ แต่ก็ไม่อยากให้พรีมต้องเครียด “มีเรื่องอะไรใช่ไหม”
“...”
“คริส”
ผมถอนหายใจและยอมเล่าออกมา “ลูกชายของเรา...แกอ่อนแอมาก ตอนผ่าออกมาหนักแค่แปดร้อยกรัม ปอดและหัวใจยังทำงานได้ไม่เต็มที่เลยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา เมื่อวานอาการแย่ถึงขั้นที่หมอบอกว่าโอกาสรอดมีแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
“วะ...ว่ายังไงนะ!” พรีมลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วโดยที่ผมจับไว้ไม่ทัน ผมรีบคว้ามือเธอมากุมไว้เพราะตอนนี้พรีมกำลังตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด
“แต่วันนี้หมอบอกว่าลูกอาการดีขึ้นมากแล้ว โอกาสรอดเพิ่มขึ้นมาเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เธออย่าเพิ่งกังวลไปเลยนะ”
“จะไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไง” พรีมน้ำตาคลอ “ลูกฉันทั้งคนนะ จะยี่สิบหรือห้าสิบ แต่ถ้ายังไม่พ้นขีดอันตรายฉันก็ห่วงอยู่ดี”
“ฉันเข้าใจ ๆ ฉันเองก็ห่วงเขามากเหมือนกัน” ผมเข้าไปกอดเธอไว้ พรีมทำท่าจะสะบัดออกแต่ผมไม่ยอม ตอนนี้พรีมกำลังเสียใจมากและผมปล่อยเธอไปไม่ได้ ดื้อรั้นอยู่ซักพักในที่สุดพรีมก็ยอมให้ผมกอดนิ่ง ๆ เธอซุกหน้าลงบนหน้าอกผมเพราะเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเธอในตอนนี้ มือทั้งสองข้างกำเสื้อผมไว้แน่นและร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมได้แต่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ลูบแผ่นหลังบางไปมาสลับกับกดจูบที่ขมับของเธอเพื่อปลอบประโลม อดคิดไม่ได้ว่าถ้าวันนี้ผมยังสติแตกเหมือนวันแรกที่รู้เรื่องลูก จนไม่สามารถเป็นเสาหลักให้พรีมได้...พรีมจะแย่แค่ไหน เพราะเธอบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจนจำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยว ต้องขอบคุณแซนดี้จริง ๆ ที่เตือนสติผมไว้
ผมหันกลับไปมองแซนดี้ เธอไม่อยู่แล้ว ผมคิดว่าเธอคงเข้าใจว่าผมทะเลาะกับพรีมเรื่องคุณนัญ (ที่ผมยังสงสัยอยู่ว่าทำไมพรีมกับแซนดี้ถึงรู้เรื่อง และเข้าใจผิดไปไกลขนาดนั้นได้) เลยถอยออกไปเพื่อให้เวลาพวกเราได้ปรับความเข้าใจกัน
“ฉันอยากไปหาลูก” เมื่อร้องไห้จนพอใจพรีมขอทั้ง ๆ ที่ยังซุกอยู่ที่อกของผม ผมพยักหน้ารับ
“เดี๋ยวฉันถามหมอก่อนนะว่าไปได้ไหม”
.
.
หมอมิเชลอนุญาตให้พรีมไปหาลูกได้ แต่ห้ามเดินเร็ว ห้ามทำอะไรที่กระทบกระเทือน ทีแรกผมจะให้พรีมนั่งรถเข็นแต่เธอไม่ยอม ผมเลยเปลี่ยนมาประคองเธอไปตลอดทางแทน
เมื่อได้เห็นหน้าลูกสาวครั้งแรกพรีมก็ตาแดงจมูกแดง แต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา เจ้าตัวแสบเหมือนรู้ว่าแม่มาหาเลยยกไม้ยกมือทำท่าเหมือนกำลังทักทายไม่หยุด จนพยาบาลที่ยืนอยู่กับพวกเราหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เหมือนว่าจะเป็นเด็กอารมณ์ดีนะคะ” พรีมยิ้มเมื่อพยาบาลบอกแบบนั้น ผมเห็นด้วย เพราะขนาดเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ตัวก็เล็กนิดเดียว แต่ยังดูร่าเริงยิ่งกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในห้องเสียอีก “คุณพ่อกับคุณแม่จะเข้าไปหาน้องไหมคะ วันนี้เข้าไปได้แล้วนะคะ”
“เข้าครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้ค่ะ” พยาบาลผายมือไปอีกทาง เธอพาพวกเราไปล้างไม้ล้างมือจนสะอาดเพราะจะได้สัมผัสลูกได้ ผมรู้สึกตื่นเต้นจนมือไม้สั่น เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้ใกล้ชิดลูกมากขนาดนี้
เมื่อล้างมือเรียบร้อยพยาบาลก็พากลับมาที่เดิม เธอเดินนำเราสองคนเข้าไปในห้อง ผมเดินผ่านเด็กหลายคนที่บ้างก็นอนหลับ บ้างก็นอนลืมตาแป๋วอยู่ ทั้งหมดเป็นเด็กฝรั่งตาสีสดใส ผมบลอนด์ผมดำปะปนกันไป แต่มีเพียงแค่ลูกของผมคนเดียวที่เป็นเด็กเอเชีย
“มองเห็นชัดแล้วหรือคะน้องพุดดิ้ง มองตามคุณพ่อคุณแม่ใหญ่เชียว” ชื่อที่พยาบาลพูดออกมาทำให้พรีมขมวดคิ้ว เธอหันมามองหน้าผมอย่างต้องการคำอธิบาย ผมได้แต่ส่งสายตาไปประมาณว่าจะเล่าให้ฟังทีหลัง พรีมเลยยอมหันกลับไปหาลูกแต่โดยดี
“ลูกแม่” เพราะลูกสาวผมยังต้องอยู่ในตู้อบ เราเลยไม่สามารถอุ้มเขาได้ ทำได้แค่เอื้อมมือผ่านช่องเล็ก ๆ เข้าไปสัมผัสกับมือเล็ก ๆ ของเขาก็เท่านั้น “มือเล็กมากเลย”
“ตัวเล็กแต่มีพัฒนาการที่ดีมากนะคะ เมื่อเช้าหมอมาตรวจอาการแล้วแจ้งข่าวดีว่าพรุ่งนี้ก็สามารถให้น้องออกจากตู้อบได้แล้วค่ะ คุณแม่จะได้ให้นมน้องแล้วนะ”
“ให้นมหรือคะ”
“ค่ะ เห็นว่าน้ำนมของคุณแม่ยังมาน้อยใช่ไหมคะ การให้น้องเข้าเต้าจะช่วยกระตุ้นน้ำนมได้ค่ะ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้น้องจะไม่ชินและไม่ยอมดื่มนมจากเต้าคุณแม่นะคะ”
“อ๋อ...ค่ะ” พรีมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองลูกสาวอีกครั้ง สาวน้อยของพวกเราก็กำลังมองมาที่เราสองคนอยู่เหมือนกัน ผมไม่แน่ใจว่าเขาเห็นชัดแค่ไหน แต่ดูจากที่คอยยกมือขึ้นทักทายตลอดผมเลยคิดว่าเขาคงเห็นชัดขึ้นมากแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด