Pream Part
.
เกือบสองอาทิตย์ต่อมาฉันก็ได้ออกจากโรงพยาบาล พร้อมกับน้องพอใจที่น้ำหนักขึ้นมาเป็น 1,900 กรัม พอใจเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมาก(สำหรับฉัน) แค่ได้กินอิ่มก็พร้อมนอนไม่ร้องโยเยแม้แต่แอะเดียว แต่สำหรับคริสแล้วพอใจเลี้ยงยากพอสมควร เพราะลูกมักร้องงอแงเกือบทุกครั้งถ้าคริสจะอุ้ม พอใจจะยอมให้คริสอุ้มก็ต่อเมื่อง่วงนอนเท่านั้น เรื่องนี้ทั้งคริสและฉันเองก็ไม่รู้จะแก้ยังไงดี เพราะกับคนอื่นพอใจไม่มีปัญหาเลย ใครจะอุ้มจะเล่นด้วยไม่เคยงอแง มีปัญหาแต่กับพ่อตัวเองนี่แหละ ทำเอาคริสน้อยอกน้อยใจลูกอยู่บ่อย ๆ
ส่วนน้องพีท ตอนนี้น้ำหนักขึ้นมา 950 กรัมแล้ว หมอลองถอดท่อช่วยหายใจแต่น้องพีทยังหายใจเองไม่ได้ก็เลยต้องใส่ต่อ น้องพีทตื่นบ่อยขึ้น ร่างกายดูอิ่มมีเนื้อมีหนังมากขึ้น ถึงฉันจะได้กลับมาบ้านแล้ว แต่ก็ยังต้องเอานมที่ปั้มไปส่งที่โรงพยาบาลทุกวัน และก็ได้แวะไปหาน้องพีทด้วย
นิโคลัสให้ฉันพักงานได้ซักพักใหญ่ ๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวว่ากี่วัน กี่สัปดาห์ หรือกี่เดือน บอกแค่ว่าถ้าปรับตัวได้เมื่อไหร่ค่อยกลับไปทำงาน แต่หลังจากนี้ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทอีกแล้ว นิโคลัสอนุญาตให้ฉันทำงานที่บ้านและส่งงานทางอีเมล์แทนเพราะจะได้มีเวลาเลี้ยงลูกทั้งสองคน เขายังเน้นย้ำอีกว่าช่วงที่ให้พักก็คือห้ามทำงานเลย ถ้าส่งงานไปช่วงพักเขาจะไม่เปิดดู ทำให้ฉันที่ตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกไปและแอบทำงานไปด้วยต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป
ส่วนเพื่อนของคริสทุกคน รวมถึงนับดาวและน้องครีมกลับไทยไปแล้ว ทั้งหมดมีหน้าที่การงานต้องทำเลยอยู่ได้ไม่นานนัก น้องครีมเองก็ต้องไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนเปิดเรียนช่วงสิงหา เลยต้องกลับแม้จะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ทุกคนก็สัญญาว่าจะบินกลับมาอีกครั้งในวันที่น้องพีทออกจากโรงพยาบาลเพื่อรับขวัญหลาน ซึ่งไม่น่าจะเกินสองถึงสามเดือนนับจากนี้
ส่วนคนที่เหลือน่ะเหรอ...
“แม่พรีม พอใจหลับแล้วหรือ” แม่ฉันยังอยู่ที่นี่ และไม่มีที่ท่าว่าจะกลับง่าย ๆ ด้วย พ่อ ป๊า และหม่าม้าของคริสก็เช่นกัน พอฉันถามถึงเรื่องงานพวกท่านก็บอกแค่ว่าตอนนี้อยู่ในช่วงลาพักร้อน ให้คนอื่นทำกันบ้างเพราะเหนื่อยมามากแล้ว แต่ฉันก็แอบเห็นว่าพ่อและป๊าทั้งคอยโทรเช็ก และนั่งเช็กอีเมล์ตลอดเมื่อมีเวลาว่าง
แต่ฉันก็เข้าใจ ทุกคนคงอยากอยู่กับหลาน อยากเล่นกับหลาน อยากเห็นว่าหลานอีกคนหายดีด้วยตาของตัวเอง
“หลับเมื่อกี้เองค่ะ” ฉันตอบเสียงเบา เพราะพอใจเพิ่งดื่มนมจนอิ่มและหลับไปเมื่อครู่นี้เอง แม้พอใจจะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแค่ไหน แต่ถ้าได้นอนไม่เต็มอิ่มก็ร้องลั่นบ้านได้เหมือนกัน...
“น้ำนมพอมาก็มาเสียเยอะเชียว” แม่มองฉันที่นั่งปั้มนมไม่หยุด ตอนนี้น้ำนมฉันไหลปกติ และดูเหมือนว่าจะมีมากเกินที่สองคนจะกินไหวด้วย พอใจเองก็กินนมทีไรไม่เคยเกลี้ยงเต้าเลย ฉันเลยต้องมานั่งปั้มออกให้หมดเพราะไม่อย่างงั้นฉันนี่แหละจะเจ็บตัว
พอใจตื่นขึ้นมากินนมทุกสองชั่วโมงในสองอาทิตย์แรก มันค่อนข้างลำบากเพราะทั้งฉันและคริสแทบไม่ได้นอนเลย แต่อาทิตย์นี้พอใจก็เริ่มนอนนานขึ้น จากที่ต้องกินทุกสองชั่วโมงก็เปลี่ยนเป็นทุกสามชั่วโมงแทน ส่วนฉันก็ต้องปั้มนมทุกสามชั่วโมง และต้องทำในเวลาเดิมทุกวันเพื่อไม่ให้เต้าคัดหรืออุดตันจนนมไม่ออกอีก แม้พอใจจะนอนเพิ่มขึ้นแต่มันก็ยังเหนื่อยมากอยู่ดี ฉันแทบไม่ได้นอนยาว ๆ เลย อย่างมากก็แค่สองชั่วโมงครึ่งเพราะต้องตื่นมาให้นมพอใจและปั้มนมต่อ ถึงจะเหนื่อยแต่มันก็มีความสุขมากเวลาที่ได้เห็นลูกดื่มกินน้ำนมจากเต้า หรือแม้กระทั่งเวลาที่ปั้มนมและได้เห็นน้ำนมไหลออกมา มันเหมือนแสดงให้เห็นว่าฉันได้เป็นแม่คนเต็มตัวแล้วจริง ๆ
“แม่ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้เลย” จู่ ๆ แม่ก็พูดขึ้นมา ทำให้ฉันอดหันกลับไปมองท่านไม่ได้ แม่จ้องมองน้ำนมของฉันเหมือนกำลังเหม่อลอยถึงอะไรบางอย่าง “ตอนคลอดแม่พรีม แม่ไม่มีน้ำนมให้ลูก พยายามทำทุกวิถีทางแล้วน้ำนมก็ไม่ยอมไหลออกมา โชคดีที่เพียรเขาเพิ่งคลอดลูกชายได้ไม่ถึงปี เลยอาสาเสนอตัวเป็นแม่นมให้แม่พรีม แม่เห็นว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้ก็เลยยอม แม่พรีมก็เลยกินนมเพียรเขามาตลอด”
“...” ฉันเงียบและตั้งใจฟัง เพราะไม่บ่อยเลยที่แม่จะเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังแบบนี้
“น่าเสียดายนะ แม่พรีมเลยไม่ได้กินนมแม่เลย แถมยังติดเพียรจนไม่ค่อยอยากให้แม่อุ้มเท่าไหร่”
พอได้ยินแบบนั้นความรู้สึกผิดก็แล่นขึ้นมาจุกที่อก ฉันเคยคิด...เคยน้อยใจว่าทำไมแม่ถึงไม่ยอมให้ฉันกินนมจากท่านบ้าง หลายต่อหลายครั้งที่ฉันเอาเรื่องนี้ไปถามผู้ใหญ่คนอื่น ๆ เขาก็เอาแต่พูดกันว่ามันจะทำให้หน้าอกเสียทรงและไม่สวย ฉันพาลไม่พอใจแม่เพราะคิดว่าแม่ห่วงความสวยมากกว่าลูกตัวเอง ฉันเพิ่งได้รู้ในวันนี้เองว่าที่ฉันต้องกินนมแม่เพียรเป็นเพราะว่าแม่ไม่มีน้ำนมให้
และเรื่องที่แม่ไม่ค่อยอุ้มฉัน พอได้ยินที่แม่พูดฉันก็ได้ลองกลับมาคิดทวบทวนดูดี ๆ อีกครั้ง จำได้แม่นว่าตอนฉันยังเด็ก ๆ แม่ต้องเข้าวังบ่อย ๆ ทำให้แทบไม่ได้อยู่ที่บ้านเลย พอได้เจอแม่แต่ละครั้งฉันก็เหมือนเจอคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้ยเคย ไม่กล้าเข้าใกล้ เอาแต่เกาะแม่เพียรไม่ยอมปล่อย พอเป็นแบบนั้นบ่อย ๆ เข้าแม่ก็เลยยอมห่างเหินฉันไปเพื่อตัดปัญหา ฉันก็พาลโกรธอีกว่าทำไมแม่ไม่เล่นด้วย แม่ไม่รักฉันหรือยังไง และฉันก็ฝังใจแบบนั้นมาตลอด แต่พอวันนี้ฉันลองวางความน้อยอกน้อยใจที่เคยมีลง ฉันก็ได้รู้แล้วว่าเรื่องนี้แม่ไม่ได้ผิดเลย
ฉันรู้สึกนับถือความอดทนของแม่ เพราะในวันนี้พอฉันได้กลายมาเป็นแม่บ้าง มันก็ทำให้ฉันได้รู้สึกถึงความรักที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไร รวมถึงความหวงแหนในตัวลูกด้วย ฉันเสียใจมากตอนที่ไม่มีน้ำนมให้ลูก และพอรู้ว่าจะต้องหาแม่นมมาให้นมแทนฉันรู้สึกก็ต่อต้านขึ้นมาในใจ แม่เองก็คงเสียใจเหมือนกันที่ไม่มีน้ำนมให้ฉัน และลำบากใจที่ต้องให้คนอื่นมาให้นมลูกแทน จนทำให้ลูกก็ไม่คุ้นเคยและไม่กล้าเข้าใกล้ตัวเองไปเลย ถ้าเป็นฉัน...แค่ลองจินตนาการว่าจะไม่ได้อุ้มลูกเพราะลูกไม่อยากเข้าใกล้ฉันก็เจ็บปวดมากแล้ว พอคิดแบบนี้แล้วฉันก็อดนึกถึงคริสไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกแย่แค่ไหนที่ลูกไม่ยอมให้อุ้มแบบนั้น
เรื่องในอดีตของฉันกับแม่มันไม่มีใครผิดเลย แม่ไม่ผิด แม่เพียรไม่ผิด ฉันก็ไม่ผิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันหล่อหลอมให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นแบบนั้น เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากทำปัจจุบันให้ดีขึ้นและรอบคอบกว่าเดิม
“อุ้มตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้วค่ะ” ฉันตอบท่านยิ้ม ๆ แม่หลุบตามองไปทางอื่น ฉันรู้ว่าท่านกำลังเสียใจเพราะเราหันมาเปิดใจให้กันช้าเกินไป “แต่ว่า...”
“...” ท่านหันกลับมามองฉัน
“ต่อจากนี้คุณแม่ก็อุ้มหลานเยอะ ๆ แทนนะคะ ถือว่าชดเชยที่ไม่ค่อยได้อุ้มหนู”
แม่ดูอึ้งไปเมื่อฉันพูดแบบนั้น ฉันส่งยิ้มให้ท่านกว้างขึ้น ๆ เรื่อย ๆ จนในที่สุดท่านก็ส่งยิ้มกว้าง ๆ กลับมาให้ฉันเหมือนกัน
ฉันเคยบอกไหมนะ? ว่าฉันกับแม่มีรอยยิ้มที่เหมือนกันราวกับแกะ
“ได้สิ จะอุ้มจนกว่าจะอุ้มไม่ไหวเลย”
และเราสองคนก็นั่งยิ้มให้กันอยู่แบบนั้น เมฆหมอกในใจจางหายไปพร้อมกับความเข้าใจที่เข้ามาแทนที่ แม่ก้มลงไปหาหลานใกล้ ๆ ในจังหวะเดียวกับที่ฉันมองไปที่ประตูห้อง
คริสยืนอยู่ตรงนั้น
เขายกนิ้วให้ฉันเหมือนว่าฉันพูดดีแล้ว ฉันได้แต่ยิ้มออกมา และหันกลับมามองแม่อีกครั้ง
ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าเราไม่ได้เปิดใจให้ให้กันไปตลอดชีวิต
.
.
“ว่าไงลูกชายป๊า เดี๋ยวนี้มีมองป๊าด้วยนะเรา” คริสหยอกล้อกับลูกชายผ่านกระจก แต่คำแทนตัวของเขาทำให้ฉันเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“จะให้ลูกเรียกว่าป๊าเหรอ?”
“อื้อ เหมือนที่ฉันเรียกป๊าว่าป๊าไง” คริสยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร ฉันเข้าใจนะเพราะเขาเรียกพ่อว่าป๊ามาทั้งชีวิต แต่สำหรับฉันมันคนละแบบกันเลย เราถูกสอนมาแตกต่างกันเกือบทุกเรื่อง รวมถึงคำที่ใช้เรียกผู้ให้กำเนิดด้วย
“แล้วจะให้ลูกเรียกฉันว่าอะไร”
“หม่าม้าไง”
“แต่ฉันอยากให้ลูกเรียกฉันว่าแม่นี่!” ฉันเริ่มโวยวาย เรียกว่าหม่าม้าก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ฉันไม่ชิน ฉันอยากให้ลูกเรียกว่า แม่ครับ แม่ขา คุณแม่ครับ คุณแม่ขามากกว่า แค่คิดว่าวันหนึ่งจะถูกลูกเรียกแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนฉันก็อยากตามใจลูกทุกอย่างแล้ว
“แต่เรียกปะป๊าหม่าม้ามันน่ารักมากนะ ฉันเรียกมาตั้งแต่หัดพูดได้”
“ฉันก็เรียกพ่อแม่มาตั้งแต่หัดพูดครั้งแรกเหมือนกัน”
กลายเป็นว่าเรากำลังทะเลาะกันเป็นเด็ก ๆ กับเรื่องเล็ก ๆ อย่างให้ลูกเรียกว่าอะไร คริสเองก็ไม่ยอม ฉันเองก็ไม่ยอม เรายืนจ้องตากันอยู่แบบนั้นเกือบสองนาที สุดท้ายฉันเป็นคนสรุปเองเพื่อให้ปัญหามันหมดไป
“นายก็ให้ลูกเรียกป๊าไป ฉันจะให้ลูกเรียกแม่ ไม่ก้าวก่ายกัน” ฉันพูดจบก็สะบัดหน้าใส่เขาและเดินหนีทันที ฉันกำลังเอาแต่ใจฉันรู้ตัว แต่ก็เพราะคริสนั่นแหละ ตามใจฉันจนเคยตัว พออยากได้อะไรแล้วไม่ได้ก็รู้สึกพาลน้อยใจเขาแบบนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด