ที่โรงพยาบาล
เมิ่งหว่านชูรูปร่างผอมบางกำลังใช้แรงทั้งหมดเท่าที่เธอมี แบกชายหนุ่มเลือดท่วมคนหนึ่งมาที่ช่องลงทะเบียนผู้ป่วยฉุกเฉิน
“ผู้ป่วยฉุกเฉินค่ะ เขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์หมดสติไป!” เมิ่งหว่านชูพูดอย่างเร่งรีบ
เธอรู้สึกว่าวันนี้โชคร้ายจริงๆ
ในขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานไฟฟ้าส่งอาหาร รถบรรทุกขนาดใหญ่ขับฝ่าไฟแดงมาชนรถเฟอร์รารี่ที่อยู่ข้างๆ
รถเฟอร์รารี่คันนั้นเสียหายยับเยิน กระจกแตกกระจาย ท้ายรถมีไฟลุกพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ส่วนคนขับนั้นเลือดเต็มตัวนอนหมดสติอยู่ในรถเมิ่งหว่านชูเองก็ไม่รู้ไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน ตรงรี่เข้าไปลากชายคนนั้นออกมาโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง
หลังจากที่ลากออกมาได้เพียงไม่กี่เมตร ‘ตู้ม!’ รถยนต์ก็ระเบิดขึ้น
เมิ่งหว่านชูรู้สึกสะพรึง ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ก็คงระเบิดไปพร้อมกับรถแล้ว!
ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสคว้าข้อมือของเธอเอาไว้อย่างแรงราวกับกำลังคว้าความหวังสุดท้าย แล้วพูดด้วยอาการสะลึมสะลือว่า “ช่วยด้วย! พาผมไปโรงพยาบาลที...ผมจะให้คุณหนึ่งร้อยล้าน...”
ร้อยล้าน!
เธอคงไม่ได้ช่วยชีวิตมหาเศรษฐีเข้าหรอกนะ
พนักงานที่ช่องการเงินเอ่ยถาม “ชื่ออะไรคะ”
ในขณะที่เมิ่งหว่านชูกำลังจะตอบ
พนักงานเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วท่าทีก็เปลี่ยนไปทันที “อา ที่แท้ก็คุณหลีอวิ่นเอ๋อร์ลูกสาวผู้อำนวยการนี่เอง... คุณหลี รอสักครู่นะคะ ทางเราจะรีบตามหมอให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ...”
เมิ่งหว่านชูยิ้มเจื่อน
หลีอวิ่นเอ๋อร์คือพี่สาวแท้ๆ ของเธอ ทั้งสองมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่ชะตากรรมนั้นกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
เพราะตอนที่เกิด เธอถูกลักพาตัวไป และถูกส่งต่อไปขายให้พ่อแม่บุญธรรมในปัจจุบัน
ทว่าเมื่อเดือนที่แล้ว พ่อแม่บุญธรรมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บสาหัส จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก
ตอนนั้นเองจู่ๆ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็ปรากฏตัว และบอกว่าสามารถช่วยพ่อแม่บุญธรรมของเธอได้ แต่มีเงื่อนไขว่าเธอจะต้องบริจาคไขกระดูกให้ลูกชายคนเล็กของตระกูลหลีที่เป็นลิวคีเมีย แล้วยังห้ามเธอเปิดเผยใบหน้าที่เหมือนกันกับหลีอวิ่นเอ๋อร์สู่สาธารณชนอีกด้วย
จ้าวรั่วหลานผู้เป็นแม่แท้ๆ บอกว่า “หลีอวิ่นเอ๋อร์ของเราเชี่ยวชาญศิลปะสี่แขนง ทั้งวาดภาพ กาพย์กลอน หมากล้อม และดนตรี แล้วยังเป็นหญิงงามแห่งหลานเฉิงอีกด้วย ส่วนเธอก็แค่เด็กสาวบ้านนอก พาออกงานก็ขายขี้หน้าเปล่าๆ จะให้การมีอยู่ของเธอทำลายชื่อเสียงของอวิ่นเอ๋อร์ไม่ได้เด็ดขาด”
เพื่อให้พ่อแม่บุญธรรมได้รับการรักษา เมิ่งหว่านชูจำต้องตอบตกลง
ตลอดเวลาที่อยู่หลานเฉิง โดยปกติเธอจะแต่งหน้าให้ขี้เหร่ แต่วันนี้เธอออกมาส่งอาหารกะดึกจึงขี้เกียจแต่งหน้า ไม่คิดว่าจะมีคนจำเธอได้ แล้วยังพลาดเข้าไปในโรงพยาบาลของพ่อแท้ๆ อีก เธอจำต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่าเธอคือ ‘หลีอวิ่นเอ๋อร์’ แถมสำรองเงินห้าพันเป็นค่าผ่าตัดในนามของหล่อนอีกด้วย
หลังจากเรียบร้อยดีแล้ว เธอกลับถึงบ้านเช่าและรีบอาบน้ำด้วยความเหนื่อยล้า ขณะที่กำลังซักเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน เธอพบแหวนเพชรสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนวงหนึ่งในกระเป๋าเสื้อ
คงจะเป็นตอนที่ชายคนนั้นคว้าเสื้อของเธอ แหวนวงนี้จึงหล่นเข้ามาในกระเป๋าหรือเปล่านะ
เธอไม่ได้คิดอะไรมากจึงวางแหวนลงบนโต๊ะ เตรียมจะงีบพักสักครู่หนึ่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไรแล้ว มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เธอสวมรองเท้าแตะแล้วเดินไปเปิดประตู
“เมิ่งหว่านชู เธอนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ เธอลืมสิ่งที่ฉันเคยพูดกับเธอไปแล้วหรือไง”
หลีอวิ่นเอ๋อร์ผู้มีรูปร่างสะโอดสะองเดินเข้ามาตบหน้าเมิ่งหว่านชู “ตอนที่มาหลานเฉิง ฉันก็เตือนเธอไปแล้วนะว่าห้ามใช้ ‘หน้าตาของฉัน’ แอบอ้างไปทั่ว ไม่สนใจชีวิตของพ่อแม่บุญธรรมแล้วหรือ”
เมิ่งหว่านชูรู้สึกโกรธมาก เธอตบหน้าหลีอวิ่นเอ๋อร์กลับทันที
เพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่บุญธรรม เธอจำยอมแบกรับความลำบากใจจากพ่อแม่แท้ๆ แต่เธอไม่ใช่คนที่ยอมให้คนอื่นรังแกง่ายๆ แล้วก็ไม่ใช่พวกรังแกคนอ่อนแอเข้าหาผู้มีอำนาจประเภทนั้น
หลีอวิ่นเอ๋อร์กรีดร้องทันที “เมิ่งหว่านชู เธอกล้าตบฉันหรือ”
เมิ่งหว่านชูแรงเยอะกว่าหลีอวิ่นเอ๋อร์มาก ตบเพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้แก้มของเธอบวมขึ้น
เมิ่งหว่านชูสะบัดมือที่ตบจนเจ็บของเธอ แล้วเลิกคิ้วงามๆ ขึ้นเล็กน้อย “ตบเธอนี่คืออดทนแล้วนะ!
ฉันไม่ใช่แม่ของเธอสักหน่อย จะได้ยอมนิสัยจองหองของเธอ”
“เธอพาผู้ชายไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาที่โรงพยาบาลของพ่อตอนดึกๆ ถ้าเรื่องแพร่งพรายออกไปจะให้ฉันทำยังไง เธอยังจะมีหน้าปากดีอีกหรือ!”
หลีอวิ่นเอ๋อร์โกรธหน้าดำหน้าแดงชี้มาที่เธอ “ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อเช้ามีคนมาบอกพ่อฉันละก็ ฉันก็ยังคงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย! แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะเอาชื่อของฉันไปทำเรื่องสกปรกน่าละอายอีกเท่าไหร่!”
“หน้าของเธอ...หึ”
เมิ่งหว่านชูหัวเราะเยาะตัวเอง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ดูโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรมนี้สิ แม้แต่รูปลักษณ์ที่มีมาแต่กำเนิดก็ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ขณะนั้น โทรศัพท์มือถือของหลีอวิ่นเอ๋อร์ก็ดังขึ้น
เธอเดินหลบไปด้านข้างเพื่อรับโทรศัพท์ สายตาพลันเหลือบไปเห็นแหวนเพชรสีดำบนโต๊ะวงนั้นพอดี
แหวนวงนี้ รู้สึกคุ้นตา...
“หม่ามี้ มีอะไรหรือคะ” เธอถาม
“พระเจ้า ลูกรัก ลูกไปช่วยชีวิตคุณชายฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกหม่ามี้สักคำ เมื่อครู่นี้คนตระกูลฉิงมาที่บ้านแล้วขอนัดเจอลูกสัปดาห์หน้า”
จ้าวรั่วหลานที่อยู่ปลายสายปลาบปลื้มใจอย่างมาก แม้แต่เสียงพูดก็ยังสั่นเล็กน้อย
“คุณชายฉิงหรือคะ”
หลีอวิ่นเอ๋อร์มองแหวนบนโต๊ะ ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ไปร่วมงานเลี้ยงไฮโซ หนึ่งในรูปภาพของคุณชายฉิงที่พวกเขาส่งกันก็มีรูปของแหวนวงนี้อยู่ด้วย
แหวนเพชรตกทอดจากบรรพบุรุษแก่ทายาทตระกูลฉิง
เมื่อลองนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เมิ่งหว่านชูอยู่ที่โรงพยาบาล หลีอวิ่นเอ๋อร์ก็เข้าใจในทันที ที่แท้เมื่อวานเมิ่งหว่านชูช่วยชีวิตของฉิงมั่วหันเอาไว้นี่เอง!
และเพราะเมิ่งหว่านชูแจ้งชื่อของเธอแก่โรงพยาบาล ทำให้ฉิงมั่วหันเข้าใจว่าเธอเป็นคนช่วยชีวิตเขา
เธอกลายเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณชายฉิงผู้ยิ่งใหญ่ไปโดยไม่คาดฝัน!
นี่มันน่ายินดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่เสียอีก
“หม่ามี้ ตอนนี้หนูติดธุระนิดหน่อย กลับไปค่อยคุยกันนะคะ”
หลีอวิ่นเอ๋อร์สะกดความดีใจเป็นบ้าเป็นหลังของเธอไว้ ฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งหว่านชูเผลอคว้าเอาแหวนบนโต๊ะไป เธอเดินมาตรงหน้าเมิ่งหว่านชู และพูดอย่างหยิ่งผยองว่า “ถ้าคราวหน้ามีแบบนี้อีก รอเก็บศพพ่อแม่บุญธรรมได้เลย”
แล้วจากไปอย่างขุ่นเคือง
เมิ่งหว่านชูกลับมานอนต่อ เดิมทีตั้งใจแค่จะงีบสักพัก แต่คาดไม่ถึงว่าเธอจะนอนเพลินไปหน่อย
เวลานี้ เธอไม่สนใจจะเก็บเรื่องหลีอวิ่นเอ๋อร์มารกสมอง เธอสวมหน้ากาก แล้วรีบไปหาชายคนนั้นที่โรงพยาบาล
ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งร้อยล้าน
นั่นแลกมาด้วยชีวิตของเธอเชียวนะ
แต่ใครจะรู้ เมื่อเธอไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลแจ้งว่าชายคนนั้นตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วออกไปจากโรงพยาบาลทันที
เขาไม่ได้ทิ้งข้อมูลสำหรับการติดต่อไว้เลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ประธานตัวร้ายกับยัยจอมแสร้ง