พิมก้มลงไปจับข้อเท้าของตัวเอง เธอไม่รีรอรีบถอดร้องเท้าทิ้งทันที
แล้วพยายามดันตัวเองลุกขึ้นมา พอทรงตัวได้ดีเธอก็รีบวิ่งกะเพลก
ตามรถของเตชินไปทั้งน้ำตาพร้อมกับเอ่ย
" คุณเตชิน! คุณเตชิน! อย่าทิ้งฉันไว้ในที่แบบนี้คนเดียว ฉันกลัว "
เธอร้องเรียกอย่างสุดเสียงวิ่งตามต่อไปด้วยความหวาดกลัวจนใจแทบขาด
เธอกลัวจะถูกทิ้งไว้ลำพัง โดยไม่สนใจความเจ็บที่ข้อเท้าเลย
ข้อเท้าบวมเป่ง แข้งขาและหัวเข่าถลอก จนเลือดสีแดงสดซึมออกมา ตามรอยแผลสด
เธอไม่สนใจ วิ่งตามต่อไป จนรถของเตชินลับสายตาไป
สุดท้ายความเร็วในการวิ่งของคนก็แพ้ให้กับรถหรูที่แล่นไปอย่างรวดเร็ว
รถของเตชินหายเข้าไปท่ามกลางความืดมิดเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า
เธอยืนอยู่ท่ามกลางสถานที่อโคจร
ผู้คนพลุกพล่านมากหน้าหลายตา
เธอรู้สึกหวิววูบขึ้นมาในใจ เมื่อรู้ว่าถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวในที่แบบนี้ในช่วงค่ำคืนแล้วจริงๆ
เธอได้แต่ยืนร้องให้ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตาราวกับเด็ก
มองไปรอบๆไม่ว่าจะทางไหนใจเธอก็สั่นกลัวไปหมด
สายตาทอดมองไปตามทางที่เตชินขับรถออกไป เธอไม่รู้จะเดินไปทางไหนแล้วตอนนี้
เพราะเธอจำทางกลับบ้านไม่ได้ แถมเจ้าของบ้านก็มาทอดทิ้งเธอไว้อีก
ทำราวกับเธอเป็นสัตว์เลี้ยง ที่เจ้าของไม่ต้องการตัดหางแล้วปล่อยไป(ตัดหางปล่อยวัด)
เธอยืนร้องให้แล้วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
" คุณเตชิน คุณเห็นฉันเป็นตัวอะไร คิดจะทิ้งก็ทิ้งไปเลยแบบนี้เหรอ
จิตใจคุณทำด้วยอะไร ถึงทิ้งฉันไว้ในที่อโคจรแบบนี้ได้ลงคอ ฮือ... "
เธอเดินไปตามทางด้วยเท้าเปล่าเนื้อตัวถลอกสภาพคล้ายคนเมา
ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองเธอด้วยสายตาที่แปลกแตกต่างกันออกไป
แล้วจู่ๆก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีแต่งตัวดูดีสองคนเดินเข้ามาหาเธอแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ
" คุณพิมใช่มั้ยครับ "
เธอรีบเช็ดน้ำตาปาดน้ำตาทิ้งแล้วหันไปมองเขาด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วเอ่ย
" พวกผมสองคนเป็นเพื่อนของเตชินครับ วันนี้เขานัดพวกเราออกมาดื่ม
พอไปถึงห้องก็ไม่เจอใครแล้ว เลยออกมาดูที่ลานจอดรถ
ก็เห็นคุณวิ่งตามรถเขาไป ผมเลยโทรไปถาม
เขาบอกว่าเดี๋ยวจะให้ผู้ช่วยมารับคุณครับ "
พิมมองชายหนุ่มทั้งสองอย่างไม่ไว้ใจ แล้วเธอก็มีลางสังหรณ์บางอย่าง
ซึ่งสัญชาตญาณของเธอบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดี
แล้วชายหนุ่มอีกคนก็เอ่ยขึ้น
" ผมว่าคุณพิมเข้าไปรอข้างในก่อนดีกว่าครับ คุณยืนอยู่ที่คนเดียวในที่แบบนี้มันอันตราย "
ตอนนี้ เธอรู้แล้วว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย
สองคนตรงหน้ากำลังหว่านล้อมเธอด้วยคำพูดดังสำนวนสุภาษิตที่ว่า
มืถือสาก ปากถือศีล ปากไม่ตรงกับใจ หน้าเนื้อใจเสือ ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ
เธอกำลังคิดหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ากับคนประเภทนี้
ด้วยท่าทีนิ่งเฉยน้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มแห้งหายไปหมด แล้วเอ่ย
" ฉันไม่รบกวนพวกคุณดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันจะโทรหาผู้ช่วยเขาเอง "
เอ่ยจบเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ชายหนุ่มทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนไปเตรียมจะเข้าไปจับตัวพิม
แต่ดันเห็นโทรศัพท์ในมือพิมไม่มีแบตเตอรี่แล้วสีหน้าของทั้งสองก็อมยิ้มมองกันอย่างเงียบๆ
มีเพียงสีหน้าพิมที่ดูเคร่งเครียดขึ้นมา
[ บ้าเอ้ย แบตเตอรี่มาหมดอะไรเวลานี้ นี่มันยิ่งกว่าในละครอีก
หรือว่าชีวิตเราถึงเคราต้องรับเคราะห์กรรมแล้วจริงๆ ]
เธอพึมพำในใจด้วยความร้อนใจ
จากนั้นเธอก็กลับมาทำหน้านิ่งเป็นปกติแล้วเอ่ย
" แบตเตอรี่โทรศัพท์ของฉันหมดพอดี
ฉันขอตัวไปเรียกแท็กซี่กลับก่อนนะคะ "
เธอพยายามปลีกตัวออกอย่างสุภาพ แต่สองหนุ่มก็ไม่ยอมให้เหยื่อหลุดมือง่ายๆเช่นกัน
ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น
" งั้นให้ผมเรียกรถให้มารับคุณดีมั้ยครับ "
[ เรียกรถให้มารับแล้วฉุดฉันขึ้นรถเหรอฝันไปเถอะ ]
คิดได้ดังนั้นเธอจึงเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจว่า
" ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ "
ชายหนุ่มอีกคนก็เอ่ยขึ้น
" คุณพิมเป็นผู้หญิงยืนเรียกรถแท็กซี่กลางค่ำกลางคืนคนเดียวด้วยสภาพนี้
มันอันตรายเกินไปนะครับ
ผมว่า เข้าไปรอข้างในดีกว่า "
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ป่วนหัวใจท่านประธานเย็นชา