ด้านนอกประตูมิติมีผู้บำเพ็ญตนและยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันอยู่ ณ ตรงนี้ จากนั้นได้ยินเสียงดัง “ตูม” เท้าขนาดยักษ์พลันทะลุผ่านอากาศ ก้าวข้ามจากแดนที่อยู่ห่างไกลและมาถึงด้านหน้าประตูมิติโดยพลัน
ร่างเงาที่สูงตระหง่านร่างหนึ่งปรากฏอยู่ตรงนั้น เป็นร่างที่มีความสูงใหญ่ยิ่งนัก ปกคลุมด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่ว่ายามที่กลิ่นอายบนตัวของเขาแผ่กระจายออกมา ทำให้ผู้บำเพ็ญตนและยอดฝีมือที่อยู่บริเวณประตูมิติยืนไม่ติด ทยอยกันก้มกราบลงกับพื้น
ร่างที่สูงตระหง่านนี้มาถึงแล้วไม่ได้หยุดนิ่ง พลันที่ประตูมิติเปิดออกก็หายวับเข้าไปภายในประตูทันที
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้บำเพ็ญตน และยอดฝีมือที่คุกเข่าก้มกราบกับพื้นยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืน ได้ยินเสียงดัง ”แว้งค์” ด้านหน้าประตูมิติปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้นมา มีผู้ที่ผ่านประตูมิติมาจากโลกอีกโลกหนึ่งมาถึงหน้าประตูมิติ เป็นบุรุษที่หันหลังให้กับทุกคน บนตัวของเขาปรากฎประกายเซียนวูบวาบ ท่ามกลางประกายเซียนทำให้ตัวเขาแลดูตัวเบาและลอยล่อง เหมือนว่าเขานั้นเป็นเซียนที่มาจากวิมานเซียนอย่างนั้น
ทุกคนยังไม่ทันได้มองเห็นหน้าตาของบุรุษผู้นี้ พลันได้หายเข้าไปภายในประตูมิติเสียแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกตระหนก บุรุษที่เสมือนดั่งเซียนที่ล่องลอยมีประวัติความเป็นมาเช่นใดกันแน่นะ
แต่ว่า ขณะที่ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูกนั้น ปรากฏเสียงดัง “ตูม” อีกครั้ง เห็นเพียงมังกรทองตัวหนึ่งที่โลดแล่นอยู่บนท้องฟ้า มันร้องคำรามออกมาทีหนึ่ง กลิ่นอายมังกรพลุ่งพล่าน กดดันจนทุกคนที่อยู่บริเวณประตูมิติรู้สึกสะท้านภายในใจ
มังกรทองตัวนี้ลากรถศักดิ์สิทธิ์คันหนึ่ง บดขยี้ท้องฟ้าจนแหลกละเอียดท่ามกลางเสียงดังตูมตาม และมาถึงด้านหน้าประตูมิติโดยพลัน
รถศักดิ์สิทธิ์คันนี้ดำมืดไปหมด มันถูกปกคลุมด้วยไอหมอกสีดำ เหมือนว่าแสงสว่างใดๆ บนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถส่องเข้าไปได้ จึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ภายในรถศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ใด
ทุกคนยังไม่ทันได้สติกลับมา รถศักดิ์สิทธิ์คันดังกล่าวได้แล่นหายเข้าไปภายในประตูมิติ ท่ามกลางเสียงดังตูมตามเสียแล้ว
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์แต่ละคนของเก้าแดนทยอยกันปรากฎตัวออกมา พวกเขาก้าวข้ามช่องว่างมาถึงด้านหน้าของประตูมิติ แล้วทยอยเข้าไปด้านในประตูมิติ
ขณะที่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์แต่ละคนปรากฏตัวออกมานั้น ทำให้สะเทือนหวั่นไหวไปทั่วแดนมนุษย์กษัตรา ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือเช่นใด ระดับปราชญ์ก็ดี ระดับจักรพรรดิเทพก็ช่าง ขณะที่บรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์แต่ละคนมาถึงพวกเขาล้วนแล้วแต่บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นภายในใจ บรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์แต่คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งเหลือเกิน อีกทั้งบรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์เหล่านี้ ผู้คนจำนวนมากต่างไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของพวกเขา
ขณะที่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์แต่ละคนปรากฏตัวออกมานั้น ได้สร้างความตระหนกกับผู้ที่แก่จนสมควรจะตายของสายสำนักราชันเซียนบางส่วน เมื่อพวกเขามองเห็นบรรดาผู้ที่เคยหมางเมินต่อเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินเหล่านี้ ที่เวลานี้เหมือนกำลังมุ่งหน้าไปยังประตูมิติแล้ว ผู้ที่แก่จนสมควรจะตายได้แล้วที่สามารถจดจำบรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์ได้ต่างรู้สึกหวาดกลัว ถึงกับเกิดสั่นเทิ้มขึ้นภายในใจ
“นี่จะประกาศศึกยุทธการพิฆาตเซียนครั้งที่สองขึ้นอย่างนั้นรึ? บรรดาปรัชญาเมธีที่ไม่ปรากฎตัวทยอยกันปรากฎตัวออกมาแล้ว ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน กำลังเช่นนี้มีเพียงอเวจีในครั้งนั้นที่สามารถเป็นศัตรูกับพวกเขาได้” มีผู้ที่แก่จนสมควรจะตายได้แล้วถึงกับหนาวสะท้านขึ้น และพึมพำออกมาว่า “มีเพียงอีกาทมิฬที่ดำรงอยู่ในฐานะเป็นผู้บงการตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจึงสามารถเชิญคนเหล่านี้มาได้ เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะสามารถเชิญพวกเขาออกมาได้ทั้งหมด”
บรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ปลีกตัวออกจากสังคมไม่ปรากฎตัวอยู่แล้ว ในกลุ่มของพวกเขามีอยู่ไม่น้อยที่เป็นระดับต้านรับกับราชันเซียนได้ พวกเขาแต่ละคนล้วนแล้วแต่ถูกหลี่ชิเย่เชิญมา เป็นเพราะหลี่ชิเย่ต้องการพวกเขามาร่วมมือสร้างกฎเกณฑ์ที่ใช้กับโลกด้านหลังประตูมิติ พวกเขาจะร่วมกันสร้างโลกของประตูมิติแห่งนี้ให้เป็นโลกที่แข็งแกร่งจนไม่สามารถตีแตกได้
กล่าวสำหรับเก้าแดนแล้ว วิธีการเช่นนี้ไม่มีใครสามารถทำได้ ต่อให้เป็นราชันเซียนก็ยากที่จะทำได้ แต่กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้วเขากลับสามารถทำได้ เนื่องจากเขาได้ควบคุมกฎเกณฑ์ของประตูมิติเอาไว้ เขายังได้ครอบครองดวงตรามิติโบราณซึ่งเป็นพื้นฐานแก่นแท้ในการกำหนดโลกของประตูมิติ
ในขณะเดียวกัน หลี่ชิเย่ได้เชิญปรัชญาเมธีรุ่นดึกดำบรรพ์แต่ละคนมาด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ดำรงอยู่ในสถานะแข็งแกร่งที่สุดของเก้าแดน พวกเขาล้วนแล้วแต่ เป็นผู้ที่หลบออกจากโลกภายนอกไม่ปรากฏตัว ซึ่งคงมีเพียงหลี่ชิเย่เท่านั้นที่สามารถเชิญพวกเขาออกมาได้ โดยที่คนอื่นไม่สามารถเชิญได้เลย
ดังนั้น หลี่ชิเย่อาศัยดวงตรามิติโบราณ ทั้งยังเชิญบรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์แต่ละคนมาด้วย พวกเขาทั้งหมดได้ร่วมมือกันจัดตั้งกฎเกณฑ์ภายในต้นจักรวาล สามารถกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้ ในอนาคตไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมาที่โลกแห่งประตูมิติแล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เช่นนี้
การที่หลี่ชิเย่ได้ทำการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับโลกของประตูมิติภายในต้นจักรวาล ไม่เพียงเป็นการป้องการผู้บำเพ็ญตนของหมื่นเผ่าพันธุ์ทำการพัฒนาทรัพยากรของโลกแห่งประตูมิติที่มากเกินไปแล้ว ยังเป็นการป้องกันผู้บำเพ็ญตนและยอดฝีมือหมื่นเผ่าพันธุ์ของเก้าแดนแย่งชิงทรัพยากรมากเกินไปแล้วเข่นฆ่ากันเอง
ขณะเดียวกัน หลี่ชิเย่ได้ทำการกำหนดกฎเกณฑ์ และสลักตราประทับเอาไว้ เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงอเวจี จะไม่อนุญาตให้อเวจีได้เข้ามาอย่างเด็ดขาด เว้นเสียแต่มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกนี้ มิฉะนั้นล่ะก็ หากอเวจีปรากฏตัวจะต้องถูกกฎเกณฑ์ของโลกนี้สยบและขับไล่
เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น สิ่งนี้คือมรดกชิ้นสุดท้ายที่เขาเหลือไว้ให้กับเก้าแดน ถ้าหากวันหนึ่งอเวจีมาจริงๆ และหมื่นเผ่าพันธุ์ของเก้าแดนสู้อเวจีไม่ได้จริงๆล่ะก็ อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีโลกของประตูมิติแห่งนี้สามารถกลายเป็นพื้นที่บริสุทธิ์ผืนสุดท้ายของหมื่นเผ่าพันธุ์ในเก้าแดน
แน่นอนที่สุด หากอเวจีกลับมาจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วหากต้องการต้านอเวจียังคงต้องอาศัยเก้าแดนเอง จะอาศัยแค่โลกแห่งประตูมิติโลกหนึ่ง หรืออาศัยเพียงกฎเกณฑ์ของโลกแห่งประตูมิติอย่างเดียวคงไม่เพียงพออยู่แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...