กว่าสิบวันที่ผ่านมา ผู้เฒ่าได้เฝ้าสังเกตหลี่ชิเย่ตลอดมา แน่นอนที่สุด ทุกๆ ความเคลื่อนไหวของผู้เฒ่าก็หลอกสายตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ไปไม่ได้ เพียงแต่หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจเขาเท่านั้นเอง โดยถือเสียว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอย่างนั้น
ในที่สุด หลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน ขณะที่หลี่ชิเย่ได้ไปนั่งอยู่หน้าหลุมสวรรค์ที่คล้ายดั่งบึงน้ำแล้ว ผู้เฒ่าได้พาศิษย์ทั้งสองของตนเดินเข้าไปทักทาย
“ข้า เถี่ยซู่อง พ่วงด้วยตำแหน่งเจ้าสำนักต้นไม้เหล็ก บังเอิญได้พบกับสหายที่นี่นับว่ามีวาสนาต่อกัน ไม่ทราบว่าสหายมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร?” ผู้เฒ่าแสดงคารวะแบบจีนกล่าวต่อหลี่ชิเย่
ท่าทีของผู้เฒ่าเรียกได้ว่าหาได้ยากยิ่งนัก เขามีชื่อว่าเถี่ยซู่อง เป็นเจ้าสำนักของสำนักต้นไม้เหล็ก ในฐานะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง กลับสามารถให้เกียรติต่อหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งถึงเพียงนี้ นับว่าหาได้ยากนัก
อย่าว่าแต่เถี่ยซู่องที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าสำนักคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญตนธรรมดายังขี้คร้านจะสนใจหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ชิเย่ในเวลานี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมอมเมมดุจดั่งเป็นขอทานคนหนึ่ง
ท่าทางของหลี่ชิเย่ที่มองดูประกายของน้ำในบึงที่กระเพื่อมอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่สนใจต่อเถี่ยซู่อง
ท่าทีที่โอหังอวดดีของหลี่ชิเย่สร้างความไม่พอใจให้กับศิษย์ทั้งสองของเถี่ยซู่อง ศิษย์ที่เป็นชายถึงกับตวาดเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “นี่ เจ้าหูหนวกหรือไง? ไม่ได้ยินอาจารย์ข้าพูดกับเจ้าหรือไง?”
กล่าวสำหรับศิษย์สองคนแล้วเรียกได้ว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง แม้ว่าสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขาจะเป็นเพียงสำนักขนาดเล็กเท่านั้น แต่อาจารย์ของพวกเขาชั่วดีอย่างไรก็คือยอดฝีมือคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงเจ้าสำนัก ขณะที่ลักษณะของหลี่ชิเย่เหมือนดั่งกับขอทานของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งสามารถได้รับการชื่นชอบจากอาจารย์ของพวกเขาเช่นนี้ นับว่าเป็นเกียรติที่ยศสูงส่งแล้ว
“เฉินเอ๋อร์ ห้ามเสียมารยาท! เมื่อเถี่ยซู่องเห็นศิษย์ของตนตวาดเช่นนี้ จึงตวาดเสียงทุ้มต่ำออกมา จากนั้นแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ข้าอบรมไม่เข้มงวด ขอสหายได้โปรดอภัย”
หลี่ชิเย่ไม่ได้สนใจต่อเถี่ยซู่อง ยังคงจ้องมองน้ำในบึงอย่างเหม่อลอย ท่าทีของหลี่ชิเย่สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งแกชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสอง หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ของพวกเขาอยู่ พวกเขาต่างต้องการลงมือสั่งสอนมนุษย์ปุถุชนธรรมดาผู้นี้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่จึงได้หันหัวกลับมาอย่างช้าๆ มองดูเถี่ยซู่องทีหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเชื่องช้าว่า “อยู่ๆ มาเอาอกเอาใจขนาดนี้ต้องหวังผลประโยชน์อยู่แล้ว แสดงว่าต้องการให้ข้าช่วยอะไรน่ะสิ”
“บังอาจ…” เฮ่อเฉินศิษย์หนุ่มของเถี่ยซู่องเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันมีสีหน้าที่ดูไม่จืดถึงขีดสุด ร้องตวาดเสียงดังออกมา
“ห้ามเสียมารยาท!” เถี่ยซู่องตวาดไล่ศิษย์ของตนให้ถอยไปทันที
แม้แต่ศิษย์สาวของเขาเสิ่นเสี่ยวซันก็ไม่พอใจเช่นกัน กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อาจารย์ เขาพูดจาลบหลู่ถึงเพียงนี้ ทำไมท่านจะต้องทน ก็แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น จะทำอะไรได้!”
“ถอยไป” เถี่ยซู่องสั่งให้ศิษย์ของตนถอยไป เข้าก้าวไปข้างหน้าโค้งคำนับอย่างงามและกล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “ศิษย์ของข้าไร้ประสบการณ์ ไม่รู้จักผู้มีความรู้ความสามารถ ขอสหายได้โปรดอภัย”
หลี่ชิเย่มองดูเถี่ยซู่องทีหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “เห็นแก่เจ้าที่มีความจริงใจ ประทานที่นั่งให้ก็แล้วกัน” กล่าวพลางใช้มือตบพื้นดินข้างๆ
สถานที่ตรงนี้ไหนเลยจะมีที่นั่งอะไร มันก็แค่พื้นดินเท่านั้นเอง ขณะที่เถี่ยซู่องก็ไม่เอะอะโวยวาย ถลกชุดยาวที่สวมใส่อยู่แล้วนั่งลงข้างๆ
หลี่ชิเย่เห็นเถี่ยซู่องให้เกียรติถึงขนาดนี้ หัวเราะและกล่าวขึ้นเชื่องช้าว่า “ข้าแค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าเป็นผู้สูงส่งหละ”
“ผาไหม้ไฟคือสถานที่ที่อันตราย เหมือนถูกไฟเผาไฟย่าง ลำพังแค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งไหนเลยจะมาถึงที่ตรงนี้ได้ ต่อให้สหายเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ แต่สามารถเดินทางมาถึงตรงนี้ได้ นับว่ายอดเยี่ยมเช่นใดแล้ว? การมาอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่เลวร้ายเพียงนี้ แม้ว่าชุดของสหายที่สวมใส่จะดูไม่เรียบร้อยนัก แต่กลับมีท่าทีที่สงบผ่อนคลาย ย่อมเห็นได้ว่าสหายมีจิตใจที่เหนือกว่าผู้คน ดังนั้น ต่อให้สหายเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดาแน่นอน”
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของเถี่ยซู่อง และยิ้มกล่าวว่า “ตบะเจ้าแม้จะอ่อน แต่สายตาเจ้ากลับไม่เหมือนคนอื่น ยอดฝีมือจำนวนเท่าไรที่ไม่ได้มีสายตาเช่นเจ้า”
เฮ่อเฉิน และเสิ่นเสี่ยวซันที่เป็นศิษย์ทั้งสองของเถี่ยซู่องรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายในใจสำหรับคำพูดของหลี่ชิเย่ ส่งเสียงไม่พอใจออกมา แม้ว่าอาจารย์ของพวกเขาจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในชิงโจวมากนัก แต่ชั่วดีอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือที่ก้าวไปจนถึงระดับชั้นราชาสัจธรรมแล้ว! เวลานี้ออกจากปากของมนุษย์ปุถุชนธรรมดากลับกลายเป็นว่ามีตบะอ่อน เจ้ามนุษย์ปุถุชนธรรมดาผู้นี้นับว่าวาจาสามหาวเหลือเกิน มีตาหามีแววไม่!
“ชมเกินไปแล้ว” เถี่ยซู่องไม่ได้รู้สึกพึงพอใจ และกล่าวว่า “เพียงละเอียดเพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง รอบคอบเพิ่มขึ้นนิดหนึ่งเท่านั้นเอง”
“เจ้าคิดจะขอให้ข้าช่วยไขข้อฉงนสงสัย” หลี่ชิเย่มองดู เถี่ยซู่องที่ถ่อมตน ยิ้มกล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“ท่านเป็นผู้วิเศษจริงๆ แค่มองแวบเดียวก็ดูออก” เถี่ยซู่องรู้สึกตระหนก แสดงคารวะแบบจีน และกล่าวว่า “ท่านคือมังกรแท้จริงที่ซ่อนตัวอยู่บนโลกมนุษย์ ข้าเสียมารยาทแล้วหละ”
ศิษย์ทั้งสองของเขาเฮ่อเฉินและเสิ่นเสี่ยวซันกลับไม่คิดเช่นนั้น เมื่อเห็นอาจารย์ของตนแสดงท่าทีให้ความเคารพหนักแน่นจริงจังถึงเพียงนี้ พวกเขารู้สึกว่าอาจารย์ของตนถูกเจ้ามนุษย์ปุถุชนธรรมดาผู้นี้ทำให้ตกใจจนเป็นดั่งกระต่ายตื่นตูมเท่านั้นเอง
“ไม่ธรรมดา” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “ข้ารู้สึกแปลกใจอยู่นิดหนึ่ง เจ้าอาศัยอะไรมองว่าข้าเป็นผู้ที่สามารถไขข้อฉงนสงสัยให้กับเจ้าได้เล่า”
“ไม่กล้าปิดบังท่าน” เถี่ยซู่องรีบกล่าวว่า “ขณะอาจารย์ท่านยังมีชีวิตอยู่ได้บอกกับข้าว่า ดวงตาคือหน้าต่างหัวใจของคนเรา มันสามารถส่องตรงไปยังจิตบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญตน รอยสลักของที่นี่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้มาเป็นหมื่นชาติ ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเห็นรอยสลักนี้แล้ว ดวงตาทั้งสองล้วนแล้วแต่ฉงนสนเท่ห์ ขณะที่ท่านกับมีแววตาที่สุกใส เป็นระเบียบ แม้ว่าราชันเซียนจะไม่รู้ถึงความลึกลับพิสดารของรอยสลักเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของท่านต้องสับสน ดังนั้น ท่านน่าจะเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด สามารถเบิกเมฆมองเห็นตะวัน สามารถมองเห็นความจริงท่ามกลางความขมุกขมัวได้”
“เยี่ยมมาก” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “โชควาสนาของเจ้าไม่เท่าไร แต่เข้าใจมนุษย์และเหตุผลอย่างลึกซึ้ง การที่อาจารย์ของเจ้าสามารถพูดคำเช่นนี้ออกมาได้ ก็นับเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...