ระดับแรกของแดนที่สิบมีชื่อเรียกว่าระดับธุลีสัจธรรม ความหมายของระดับนี้ก็คือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในระดับนี้เปรียบประดุจผงธุลีบนโลกหล้าที่มีขนาดเล็กมากไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงอย่างนั้น
ระดับธุลีสัจธรรมถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในโลกของผู้บำเพ็ญตน ในระดับธุลีสัจธรรมเพียงต้องการกลิ่นอายขมุกขมัวเพียงหนึ่งพันลิตรก็สามารถทะลุผ่านคอขวดของระดับนี้ขึ้นสู่ระดับที่สองระดับตะนอยสัจธรรม
ท่ามกลางสิบสามทวีปนั้น ระดับธุลีสัจธรรมเป็นระดับที่สามารถฝึกได้ง่ายมาก ผู้ที่มีสติปัญญาแย่หน่อยฝึกราวหนึ่งถึงสองปีก็สามารถก้าวข้ามระดับธุลีสัจธรรมไปได้ หากเป็นศิษย์ที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักเจ้าลัทธิ และฝึกเคล็ดวิชาที่ไม่เลวนัก กระทั่งหนึ่งถึงสองเดือนก็สามารถทะลุระดับธุลีสัจธรรมไปได้
สำหรับบรรดาดาวรุ่งนั้น การฝึกในระดับธุลีสัจธรรมเป็นเรื่องที่ใช้เวลาฝึกเพียงสามถึงห้าวันเท่านั้นเอง
ต่อให้เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาในโลกโลกีย์ ซึ่งไม่มีโอกาสได้ฝึกเคล็ดวิชาของแคว้นเจ้าลัทธิ พวกเขาเพียงไปหาซื้อหนึ่งในสามเคล็ดวิชาที่เป็นตำราวางขายอยู่ทั่วไปในตลาด แล้วมุ่งมั่นฝึกเข้าไปแปดหรือสิบปี ต่อให้ไม่มีใครมาคอยชี้แนะก็ตาม ก็สามารถก้าวไปถึงระดับธุลีสัจธรรมได้เช่นกัน
ด้วยสาเหตุนี้เอง ผู้บำเพ็ญตนระดับธุลีสัจธรรมในสิบสามทวีปจึงมีจำนวนมากดั่งดอกเห็ดนับกันไม่หวั่นไม่ไหว กระทั่งมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่อยู่ในระดับนี้ก็มีเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน!
โต่ว (หน่วยนับในจีนยุคโบราณ โดยหนึ่งโต่วจะเทียบเท่าสิบลิตรในปัจจุบัน) คือหน่วยนับที่เป็นตัวชี้วัดว่ามีกลิ่นอายขมุกขมัวอยู่ปริมาณเท่าไร หนึ่งพันลิตรสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้วนับว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก
หลี่ชิเย่ขับเคลื่อน “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัว ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้ดูดกลืนความขมุกขมัวเข้าไปได้ห้าร้อยกว่าลิตร หากใช้เวลาอีกราวแปดถึงสิบวันเขาก็จะสามารถดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัวได้ถึงหนึ่งพันลิตรได้ทุกเมื่อ พร้อมที่จะทะลุผ่านระดับธุลีสัจธรรมได้ทุกเวลา
“เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ในฐานะหนึ่งในสามเคล็ดวิชาที่มีการฝึกกันแพร่หลายมากที่สุดในสิบสามทวีป แต่ว่า “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ที่อยู่ในสถานะเหมาะแก่การฝึกสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์มากที่สุดกลับมีความก้าวหน้าในการฝึกที่เชื่องช้ามาก กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า เคล็ดวิชาทั้งสามเป็นเคล็ดวิชาที่เชื่องช้าที่สุดในสิบสามทวีป
แต่ทว่า “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ที่มีความเชื่องช้าในการฝึกนี้กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจาก “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” คิดค้นสร้างขึ้นโดยมือของเขาเอง ในโลกนี้ยังจะมีใครที่เชี่ยวชาญและรู้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งของ “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” มากกว่าเขาอีกรึ?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลี่ชิเย่มีสิบสามลัคนาอยู่ในครอบครอง แม้ว่าสิบสามลัคนาในขณะนี้จะสลดและอับแสง แต่ว่าสิบสามลัคนายังคงอยู่ ซึ่งส่งผลให้หลี่ชิเย่สามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดทุกอย่าง ทำให้เขาไม่ถูกสิ่งใดสยบเอาไว้
ความจริงแล้วขอเพียงหลี่ชิเย่ต้องการ เขากระทั่งสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกเป็นทวีคูณ กระทั่งสามารถสำแดง “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” จนอยู่ในลักษณะสูงสุดยอด ซึ่งท่ามกลางลักษณะเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้หลี่ชิเย่สามารถดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัวได้ถึงหนึ่งพันลิตรภายในวันเดียว ทำให้เขาก้าวทะลุผ่านระดับธุลีสัจธรรมได้ภายในวันเดียว!
เพียงแต่หลี่ชิเย่ไม่เร่งรีบที่จะปรับขึ้นระดับในเวลานี้ ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้ “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ค่อยๆ ดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัวอย่างไม่ช้าและไม่เร็ว กระทั่งเรียกว่าตลอดขั้นตอนในการดูดกลืนนั้นกระทำกันชนิดที่เรียกได้ว่าพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด ทำการแยกเอาเฉพาะส่วนที่เป็นกลิ่นอายขมุกขมัวออกมาเท่านั้น สุดท้ายเลือกเอาส่วนที่เป็นกลิ่นอายขมุกขมัวที่บริสุทธิ์ที่สุดเอาไว้ เรียกได้ว่าตลอดขั้นตอนการฝึกหลี่ชิเย่ต้องการดีแล้วดีขึ้นไปอีก ด้วยเงื่อนไขที่โหดมาก
สองวันที่หลี่ชิเย่พักอยู่ที่สำนักต้นไม้เหล็กนี้ไม่มีใครมารบกวนเขา ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันก็ปรนนิบัติเขาอย่างดี สองวันมานี้เรียกได้ว่าหลี่ชิเย่แค่อ้าปากเมื่ออาหารมา และกางแขนออกไปเมื่อเสื้อผ้าถูกนำมา
หนึ่งเดียวที่รู้สึกไม่สบายใจก็คือเฮ่อเฉิน เวลานี้อาจารย์ให้ศิษย์พี่สาวไปเป็นคนรับใช้คอยปรนนิบัติหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรภายในใจของเฮ่อเฉินก็รับไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาก็มองดูหลี่ชิเย่อย่างไม่สบอารมณ์
เพียงแต่ด้วยคำสั่งของเถี่ยซู่อง เฮ่อเฉินก็ไม่กล้าไปหาเรื่องหลี่ชิเย่
ครั้นล่วงเลยเข้าวันที่สาม เถี่ยซู่องที่ออกไปข้างนอกได้กลับเข้ามาสำนัก พลันที่เขากลับเข้ามาก็เข้าหาหลี่ชิเย่เพื่อหารือ ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันเห็นว่าอาจารย์ของนางมีเรื่องจะปรึกษาหารือกับหลี่ชิเย่ นางไม่พูดสักคำล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ท่าทีของเสิ่นเสี่ยวซันที่คล้อยตามทำให้เถี่ยซู่องรู้สึกเหนือความคาดคิดยิ่ง มีรึที่เขาในฐานะอาจารย์จะไม่รู้ว่าศิษย์ของเขามีอุปนิสัยเช่นใด? เวลานี้ เสิ่นเสี่ยวซันเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่และคล้อยตาม
“ไม่เสียทีที่ท่านเป็นผู้ที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป ศิษย์คนนี้ของข้าเป็นผู้ที่หยิ่งยโส ขาดการขัดเกลา ไม่นึกเลยว่าเพียงแค่สองวันเท่านั้น นางก็ปฏิบัติตนต่อท่านด้วยท่าทีที่เคารพและคล้อยตาม เสน่ห์ของท่านไม่มีใครขวางได้” แม้แต่เถี่ยซู่องยังคงต้องกล่าวชื่นชมออกมาด้วยความเลื่อมใสยิ่ง
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มตามอารมณ์นิดหนึ่งและไม่ได้ใส่ใจสำหรับคำพูดเช่นนี้ของเถี่ยซู่อง เขาสามารถบ่มฟักกระทั่งราชันเซียน นับประสาอะไรกับผู้หญิงเช่นเสิ่นเสี่ยวซัน
เถี่ยซู่องถูมือไปมากล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “ท่าน ข้าได้ปรึกษาหารือกับสหายเบื้องบนนั้นแล้ว อีกทั้งตระกูลราชันฉีหลินจะจัดให้มีการทดสอบขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเร็ววันนี้ ไม่ทราบว่าท่านสามารถเดินทางได้เมื่อใด”
“สามารถเดินทางได้ทุกเมื่อ” หลี่ชิเย่กล่าวออกไปตามอารมณ์ เขาเองเตรียมตัวพร้อมที่จะไปดูที่ตระกูลราชันฉีหลินสักครั้ง แน่นอนสิ่งที่ดึงดูดความสนใจหลี่ชิเย่หาใช่ความเป็นสำนักเซียนหวางของตระกูลราชันฉีหลิน แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในมือของตระกูลราชันฉีหลินชิ้นนั้น ซึ่งดึงดูดความสนใจของหลี่ชิเย่เป็นอย่างยิ่ง
“งั้นดี ข้าจะไปจัดการให้ท่านเดี๋ยวนี้” เถี่ยซู่องถึงกับคึกคักขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดที่มั่นใจของหลี่ชิเย่ จึงรีบเร่งกล่าวตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...