ลองคิดดู การฝึกพลังภายในของจอมราชันตั้งแต่แรกเริ่มการฝึก เริ่มต้นด้วยการสัมผัสกับความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรมในระดับสูงสุด เมื่อมีการปูพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว การฝึกเคล็ดราชันที่ลึกซึ้งมากกว่าก็จะมีประสบการณ์และสามารถฝึกได้ง่ายขึ้น
ขณะที่เคล็ดวิชาทั้งสามหาเป็นเช่นนี้ไม่ หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ สามเคล็ดวิชาจะเรียบง่ายมั่นคงไม่มีอะไรพิสดารโดยตลอด ด้วยการดูดกลืนพลังขมุกขมัวแล้ว รับเอาพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น การที่จะไปตระหนักรู้ถึงความหมายอันลึกซึ้งของสัจธรรมนั้นมีน้อยถึงน้อยมากที่สุด
นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างเคล็ดวิชาทั้งสามกับเคล็ดวิชาอื่นๆ เคล็ดวิชาอื่นๆ จะเข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรมอย่างถ่องแท้ก่อน จากนั้นค่อยเชื่อมฟ้าดิน ดูดกลืนพลังขมุกขมัวแล้วรับเอาพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนเข้ามา
กล่าวสำหรับเคล็ดวิชาทั้งสามแล้ว พวกมันจะดูดกลืนพลังขมุกขมัวและรับเอาพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนตลอดเวลา กระทั่งสุดท้ายก็ยังคงเป็นเช่นนี้ กล่าวสำหรับเคล็ดวิชาทั้งสามแล้ว การดูดกลืนพลังขมุกขมัวแล้ว รับเอาพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนจึงเป็นแก่นแท้ ส่วนเรื่องความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรมเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้นเอง
เหมือนดั่งการสำเร็จเป็นอรหันต์อย่างนั้น กล่าวสำหรับพระองค์หนึ่ง การสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นขั้นตอนๆ หนึ่ง และเป็นคำตอบสุดท้าย ส่วนสิ่งที่ได้มาจากพุทธศาสนาช่วงระหว่างก้าวเดินไปจนกระทั่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่ได้มาโดยไม่คาดคิดเท่านั้น หรือก็คือเป็นเพียงเรื่องรองสำหรับขั้นตอนการก้าวสู่ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
ขณะเดียวกันยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้บำเพ็ญตนร้อยชาติพันธุ์ละทิ้งการฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามก็คือ เนื่องจากการฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามนั้นก้าวหน้าได้เชื่องช้ามากเหลือเกิน ตอนต้นของการฝึกนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ทรมานเหลือเกิน
ด้วยสติปัญญาที่เหมือนกัน ถ้าหากเปรียบเทียบการฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามนั้นกับเคล็ดพลังภายในอื่นๆ ล่ะก็ แน่นอน การฝึกเคล็ดพลังภายในอื่นๆ จะก้าวหน้าได้เร็วกว่า ปรกติแล้วมักจะเร็วกว่าหนึ่งระดับ
อานุภาพของเคล็ดวิชาทั้งสามจะปรากฏออกมาให้เห็นเมื่อก้าวไปถึงระดับปราชญาสัจธรรม หรือสวรรค์สัจธรรมไปแล้ว ลองนึกดู จะมีผู้บำเพ็ญตนกี่คนทีสามารถก้าวไปถึงระดับนี้ได้กันเล่า กล่าวสำหรับบรรดาผู้คนต่างๆ ในสิบสามทวีปแล้ว หลายคนพยายามมาชั่วชีวิตก็ก้าวไม่ถึงระดับเช่นนี้ ดังนั้น กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว การฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามนี้ไม่ได้มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
หลังจากที่หลี่ชิได้เย่บรรยายความหมายที่ลึกซึ้งทั้งหมดของ “เคล็ดหมื่นวิชา” ให้เสิ่นเสี่ยวซันฟังแล้ว ก็ได้ทำการบรรยายความหมายที่ลึกซึ้งของ “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ให้นางได้ฟังอย่างละเอียด เขาอธิบายได้ชัดเจนและง่าย ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที
ภายใต้สภาพจิตที่ว่างเปล่า เสิ่นเสี่ยวซันได้จมปลักอยู่ท่ามกลางสัจธรรม พริบตาเดียวนี้นางลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เวลานี้นางรู้สึกว่าตนเองนั้นอยู่ในที่ที่อันเป็นต้นกำเนิดของความขมุกขมัว นางรู้สึกว่าร่างทั้งร่างถูกความขมุกขมัวห่อหุ้มเอาไว้อย่างนั้น ในเวลานี้นางรู้สึกว่ามีกลิ่นอายของความขมุกขมัวที่ไร้ขีดจำกัดสำหรับให้นางได้ดูดกลืนเขาไปอย่างนั้น
การตกอยู่ท่ามกลางความลี้ลับมหัศจรรย์เช่นนี้ ทำให้เสิ่นเสี่ยวซันจมปลักอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถได้สติกลับมาเป็นเวลานาน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสิ่นเสี่ยวซันจึงได้สติคืนกลับมา หลังจากที่นางได้สติคืนกลับมาแล้ว รู้สึกถึงจิตใจสบายอย่างบอกไม่ถูก นางรู้สึกว่ารอบๆ ตัวล้วนแล้วแต่มีกลิ่นอายของความขมุกขมัวล้อมเอาไว้
ก่อนหน้านั้น แม้ว่ายามที่นางฝึกฝนจะสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความขมุกขมัว แต่ว่า เวลานี้แม้นางไม่ได้ฝึกฝนก็ยังสามารถรู้สึกได้ อีกทั้งเป็นความรู้สึกที่เด่นชัดมาก
“นี่ นี่ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อตัวเองสามารถรู้สึกได้ไว และชัดเจนมากกับกลิ่นอายของความขมุกขมัวเช่นนี้
“นี่เรียกว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ยุ่งเหยิงให้กลับสู่ปรกติ” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ความจริงแล้ว เคล็ดวิชาของสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเจ้ามีต้นกำเนิดมาจาก “เคล็ดหมื่นวิชา” และ “เคล็ดคืนสู่ปุถุชน” เพียงแต่บรรพบุรุษของพวกเจ้าอวดฉลาดเอง จัดการนำเคล็ดวิชาทั้งสองมายำเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง โดยเข้าใจเองว่าเป็นการสร้างสรรคเคล็ดวิชาที่ใหม่ทั้งหมดขึ้นมาได้ ที่ข้าถ่ายทอดความลี้ลับมหัศจรรย์ให้กับเจ้า เพียงให้สัจธรรมของเจ้ามีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงทำให้เจ้าสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความขมุกขมัว และพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนได้อย่างชัดแจน”
เมื่อเสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกงงงันนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ขอหลี่ชิเย่ นางถึงกับทำการสำรวจภายใน ปรากฏว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยความตื่นตระหนกตกใจและดีใจยิ่ง นางถึงกับร้องเสียงดังออกมาว่า “กลิ่นอายความขมุกขมัวยี่สิบสามล้านลิตร (โต่ว)”
ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันกำลังตะลึงงันอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวเฉยเมยว่า “งั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้า แสดงว่าเจ้าได้รับดอกผลที่งดงามมาก”
“นี่ นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?” เสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลังจากที่มีกลิ่นอายความขมุกขมัวเพิ่มขึ้นรวดเดียวถึงสองล้านกว่าลิตร จำนวนที่เพิ่มขึ้นเทียบได้กับการฝึกวิชาของนางราวหนึ่งถึงสองปี ซึ่งสร้างความตระหนกหวั่นไหวกับนางยิ่งนัก
“นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านั้น สัมผัสที่เจ้ากับกลิ่นอายความขมุกขมัว และพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนอยู่ในสถานะทึ่มเบาปัญญา ไม่สามารถเชื่อมถึงกันได้ เวลานี้เมื่อเชื่อมต่อกันได้แล้ว กลิ่นอายความขมุกขมัวก็กรูกันเข้าไป เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสุกงอม” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่ได้มีมีอะไรน่าตื่นตระหนกตกใจและดีใจ
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเรียบเฉย แต่ทางด้านของเสิ่นเสี่ยวซันกลับความตื่นตระหนกตกใจและดีใจจนไม่ได้สติกลับมา
ควรจะทราบว่า นางเพิ่งจะก้าวสู่ระดับสัจธรรมพระยาได้ไม่นาน มีกลิ่นอายความขมุกขมัวในครอบครองเพียงแค่ยี่สิบล้านนิดๆ แม้กระนั้นก็ตาม เถี่ยซู่องอาจารย์ของนางก็ได้ตั้งความหวังกับนางเอาไว้สูงมาก ในสายตาของเถี่ยซู่องมองว่า อีกไม่กี่ปีเสิ่นเสี่ยวซันจะต้องแซงล้ำหน้าเขาได้อย่างแน่นอน
เวลานี้ กลิ่นอายขมุกขมัวของนางถึงกับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับกว่ายี่สิบสามล้านลิตร แล้วจะไม่ให้เสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกตื่นตระหนกตกใจและดีใจได้อย่างไร หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในสองปีนี้นางก็สามารถก้าวไปถึงระดับสัจธรรมหวางแล้วหละ
ด้วยผลงานของเสิ่นเสี่ยวซันในเวลานี้ เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป
ทักษะการฝึกในแดนที่สิบก็ไม่ได้แตกต่างจากเก้าแดนสักเท่าไร ทักษะการฝึกในแดนที่สิบก็แบ่งออกเป็นสิบเจ็ดระดับเช่นกัน เมื่อก้าวไปถึงระดับที่สิบเจ็ดคือสืบทอดชะตาฟ้า กลายเป็นจอมราชันหรือเซียนหวาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...