ด้วยเหตุนี้เอง ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยจึงได้เข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการสืบค้นพื้นที่แห่งนี้ ดูว่ามีสมบัติวิเศษปรากฏออกมาจริงหรือไม่
วันรุ่งขึ้นของการเกิดเหตุการณ์ประหลาดในแดนอาถรรพ์เทพกำแหง หลี่ชิเย่ก็ได้พาพวกของเสิ่นเสี่ยวซันถึงยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหงผ่านประตูมิติ แม้ว่าแดนอาถรรพ์เทพกำแหงเป็นพื้นที่ที่เป็นเขตติดต่อกับพื้นที่อิทธิพลของตระกูลราชันฉีหลิน แต่จากเมืองฉีหลินถึงแดนอาถรรพ์เทพกำแหงก็มีระยะทางที่ไกลมาก ต้องเดินทางผ่านประตูมิติ มิฉะนั้นก็ยากจะไปถึงได้
ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหวาดกลัวขนลุกขนพองขณะยืนอยู่บริเวณด้านนอกของแดนอาถรรพ์เทพกำแหงมองดูแดนอาถรรพ์เทพกำแหงจากระยะห่างไกล
เมื่อทอดสายตามองออกไป เห็นแต่ความมืดมิดตรงหน้า และมีแต่ความเงียบสงัด ณ ที่ตรงนี้ยกเว้นความมืดมิดแล้วยังคงเป็นความมืดมิด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อยืนอยู่บริเวณด้านนอกแดนอาถรรพ์เทพกำแหงแล้วมองเข้าไปภายในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงจากระยะห่างไกล ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าด้านหน้าก็คือสุดเขตของโลก เป็นสุดเขตของโลกมนุษย์ ถ้าหากก้าวข้ามจากจุดนี้ไป ก็จะเข้าสู่โลกแห่งความมืด และเข้าสู่แดนอเวจีนับจากนี้เป็นต้นไป
เนื่องจากมีความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง ทำให้ผู้คนถึงกับหวาดกลัวจนขนลุกซู่เมื่อได้เห็น ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือก คนที่ขี้ขลาดไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
“นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกันแน่นะ?” เฮ่อเฉินถึงกับหนาวสะท้านขึ้นมา เมื่อมองเห็นความมืดมิดตรงหน้า ถึงกับขนลุกซู่ในใจ เขามีความรู้สึกว่าโลกแห่งความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าดุจดั่งเป็นปากที่อ้ากว้างมากของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่ว่าใครก็ตามหากก้าวเดินเข้าไปก็ต้องถูกมันกลืนกิน ไม่ว่าใครก็ตามเข้าไปแล้วก็จะไปแล้วไปลับไม่ได้กลับมาอีก
“เล่าลือกันว่า แดนอาถรรพ์เทพกำแหงเป็นสถานที่ที่ต้องคำสาป ไม่ว่าใครก็ตามหากเข้าไปแล้วก็จะต้องคำสาป” เถี่ยซู่องที่ติดตามมาด้วยมีสีหน้าเคร่งเครียดมองดูพื้นที่มืดมิดตรงหน้า
เถี่ยซู่องก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแดนอาถรรพ์เทพกำแหง แต่ว่าเขาไม่เคยมา โดยตัวเขาเองมองว่า ด้วยความสามารถของเขาหากมาที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง
หลี่ชิเย่เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่จืดชืด มองดูพื้นที่ที่มืดมิด “แดนอาถรรพ์เทพกำแหง” ตรงหน้าแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
พวกของเสิ่นเสี่ยวซันต่างตะลึงนิดหนึ่งเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินตรงเข้าไปยังพื้นที่มืดมิดที่อยู่ตรงหน้า เมื่อได้สติกลับมาจึงรีบเร่งตามขึ้นไปให้ทัน ในเมื่อหลี่ชิเย่ยังกล้าเข้าไป พวกเขาจะต้องไปกลัวอะไร ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ชิเย่ก็ไม่ทำร้ายพวกเขาอยู่แล้ว
นาทีที่ก้าวเท้าเข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง เฮ่อเฉินยังคงอดที่จะกังวลไม่ได้ และกล่าวว่า “ไหนบอกว่าแดนอาถรรพ์เทพกำแหงต้องคำสาปไม่ใช่รึ? พวกเราเข้าไปแล้วจะต้องกับคำสาปหรือเปล่า”
“เรื่องคำสาปเอาที่ไหนมาพูด” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและยิ้มกล่าวว่า “เป็นความจริงว่าที่ตรงนี้คือพื้นที่เงียบสงัด และเป็นพื้นที่อาถรรพ์ แต่สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ในนี้ไม่ใช่คำสาป แต่เป็นความอาฆาตของการฆ่าฟันและความไม่ยินยอมเต็มใจ ไหนๆ ก็มาแล้วจะพาพวกเจ้าไปเพิ่มพูนประสบการณ์สักหน่อย เพียงแค่เดินดูรอบนอกเท่านั้น ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว ถ้าหากคิดจะเดินเข้าไปลึกกว่านั้น ก็ต้องรองรับกับการฆ่าฟันระดับราชันเซียนและอารมณ์อาฆาตแค้นของเทพโบราณแล้ว”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไปโดยไม่ได้หยุดนิ่ง
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะพูดเช่นนี้ก็ตาม เฮ่อเฉินยังคงอดที่จะร่างสั่นเทิ้มขึ้นมาไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินเข้าไปแล้ว เขาจึงต้องรีบเร่งก้าวตามเข้าไป
เมื่อได้เหยียบย่างเข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง พวกของเถี่ยซู่องถูกทำให้ต้องหวั่นไหวขึ้นมาอย่างแท้จริง มันหาใช่แค่ความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือโลกที่ถูกทำลายล้างไป
พื้นดินตรงนี้แหลกลาญ หมื่นสัจธรรมถูกทำลาย เมื่อยืนอยู่บนพื้นที่มืดมิดนี้แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพที่สร้างความหวั่นไหวก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้านี่เอง
เมื่อมองดูท้องฟ้าที่อยู่ตรงหน้า เห็นเพียงความมืดมิดไปทั่ว ดวงดาวที่อยู่บนฟ้าแตกละเอียด ต่อให้มีดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ก็ได้กลายเป็นดวงดาวที่แห้งเหี่ยวเฉาตายปราศจากประกายโดยสิ้นเชิง ดวงตะวันจันทราก็กลายเป็นดาวดาวแต่ละดวงที่แห้งตาย ทางช้างเผือกจำนวนนับไม่ถ้วนได้สูญเสียประกายและพลังของพวกมันไป เหมือนว่าประกายและพลังทั้งหมดของพวกมันถูกสิ่งใดกลืนกินไปอย่างนั้น
เหมือนว่าเคยมีอะไรบางอย่างยืนอยู่ตรงนี้กลืนกินฟ้าดินอย่างนั้น จากการกลืนกินท้องฟ้าที่คราคร่ำด้วยดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่งนี้เอง จึงได้ลากเอาดวงดาวแต่ละดวงบนจักรวาลลงมา ทางช้างเผือกแต่ละสายถูกลากจากท้องฟ้าที่คราคร่ำด้วยดวงดาวในที่ที่ห่างไกลมาไว้บนท้องฟ้าตรงนี้
ที่ถูกกลืนกินไปใช่จะมีเพียงท้องฟ้าที่คลาคล่ำด้วยดวงดาวเหนือศีรษะเท่านั้น ยังมีผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้ ซึ่งปรากฏเป็นรอยร้าวรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นเสมือนหุบเขาแต่ละแห่งที่ลึกมาก
กระทั่งบางแห่งที่ผืนแผ่นดินได้แตกร้าวและหลุดออกจากกัน แล้วไปลอยอยู่กลางอากาศอย่างนั้น
ณ ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าหรือผืนแผ่นดิน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพเงียบสงัดปราศจากเสียงใดๆ ที่ตรงนี้ไม่เพียงเพราะถูกกลืนกินประกายทั้งหมดที่มี ยังถูกกลืนกินสิ้นพลังและชีวิตไปทั้งหมด
เรียกได้ว่าที่ตรงนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้อีก เว้นแต่ดินที่ไหม้เกรียมและดวงดาวที่แห้งตายแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย ที่ตรงนี้ไม่มีพลัง ไม่มีชีวิต ไม่มีแสงสว่าง ที่เหลืออยู่เป็นเพียงชความเงียบสงัดและความมืดที่ไม่มีสิ้นสุดเท่านั้น!
“ที่ตรงนี้ได้เกิดอะไรขึ้น?” พวกของเสิ่นเสี่ยวซันต่างรู้สึกหวั่นไหวยิ่งนักเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ถึงกับใจหายใจคว่ำขึ้นมา
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าที่ตรงนี้ได้เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่า ดูจากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าสามารถดูออกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาใช่เกิดจากภัยธรรมชาติ แต่เป็นการกระทำของคน
ลองนึกภาพดู กลืนฟ้ากัดดิน กระทั่งลากเอาทางช้างเผือกที่อยู่ไกลโพ้นยิ่งมากลืนกินจนสิ้น การลากเอาดวงดาวที่ใหญ่โตแต่ละดวงมาไว้เหนือศีรษะ ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวเพียงใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...