ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1809

สรุปบท ตอนที่ 1809 การมาของจอมเทพ: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ตอนที่ 1809 การมาของจอมเทพ – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ตอนนี้ของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1809 การมาของจอมเทพ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 1809 การมาของจอมเทพ
หลี่ชิเย่มองไปยังระยะที่ห่างไกลออกไป หลังจากผ่านไปชั่วครู่ กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “หนทางยาวไกล เมื่อก้าวเดินถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีการตัดสินใจเลือก ส่วนจะเลือกอย่างไรนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคนแล้วหละ”

เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้ชะงักนิดหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “เพราะอะไรจอมราชันและเซียนหวังต้องก้าวเดินบนเส้นทางการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอะไรจึงมีจอมราชันเซียนหวังที่ปลีกตัวออกจากโลกปัจจุบันไม่ปรากฏตัวอีก? นี่แหละคือการเลือกของแต่ละคน สำหรับจอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนจากเก้าแดนที่เลือกปลีกตัวออกจากโลกปัจจุบันนั้น พวกเขามีทางเลือกของพวกเขา และมีเหตุผลต่างๆ นานา ขณะที่จอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนจากเก้าแดนที่ก้าวเดินสู่เส้นทางการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายนั้น หรือว่าพวกเขามั่นใจจริงๆ ว่าจะต้องมีชีวิตรอดกลับมาขณะที่พวกเขาตัดสินใจทำเช่นนั้นอย่างนั้นรึ…”

“…ไม่ ความจริงแล้วจอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนจากเก้าแดนทุกองค์พวกเขาต่างก็รู้ว่า นี่เป็นสงครามที่ไม่มีความเป็นไปได้ กระทั่งพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าเป็นการไปรนหาที่ตาย แต่ ทำไมพวกเขาจึงเลือกที่จะทำเช่นนี้หละ? เพื่อลูกหลานของตนเอง เพื่อเผ่าพันธุ์ของตนเองเพื่อสรรพชีวิตของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน และเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย และพวกเขาก็ไปเผชิญกับสิ่งที่ตนเลือกอย่างไม่สะทกสะท้าน!”

ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ

เมื่อเซิ่นเหล่าลิ่วได้ฟังคำบอกเล่าเช่นนี้แล้วถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา เป็นความจริง เมื่อผู้บำเพ็ญตนมีความแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงยิ่งสูงยิ่งหนาว ทั้งยังต้องแบกรับอะไรมากยิ่งขึ้น

“กลับไปเถอะ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเจ้า หากพลาดจากกาลเวลาที่เหมาะแก่การฝึกที่สุดไปล่ะก็ ในอนาคตเจ้าคิดจะฝึกก็สายเกินไปเสียแล้วหละ” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “รอให้เจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว เจ้าสามารถกลับมาอีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าหากเจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้วเจ้าก็ไม่สามารถท่องไปในโลกโลกีย์มนุษย์ได้อีกต่อไป”

“ข้ากลับไปตอนนี้ อาจารย์จะต้องตีจนขาข้าหักสองข้างอย่างแน่นอน” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับทำหน้าเศร้า

ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซิ่นเหล่าลิ่วหนีออกมาจากสำนัก เพียงแต่คราวนี้เป็นครั้งที่เขาหนีออกมาและอยู่นานมากที่สุด และเล่นใหญ่ที่สุด หากถูกอาจารย์จับตัวได้ล่ะก็จะต้องถูกซัดจนน่วมแน่นอน ไม่แน่นักอาจจับเขามาถลกหนังก็เป็นได้!

หลี่ชิเย่หัวเราะแล้วหยิบกระดาษและพู่กันออกมาและเขียนข้อความลงไป สุดท้ายได้พับกระดาษแผ่นนั้นอย่างช้าๆ แล้วส่งให้กับเซิ่นเหล่าลิ่ว และกล่าวว่า “เอาไปมอบให้กับบรรพบุรุษของเจ้า ข้าเคยรับปากว่าจะพูดชมเจ้ากับฉวี่กง เจ้าเอาลายมือของข้าไปต้องได้พบกับเขาแน่นอน ส่วนจะได้รับการบ่มฟักจากเขาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับชะตาของเจ้าเอง

เซิ่นเหล่าลิ่วตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ จากนั้นรับเอาจดหมายที่หลี่ชิเย่เขียนขึ้นด้วยลายมือด้วยความเคารพ

หลังจากที่รับเอาจดหมายที่เป็นลายมือของหลี่ชิเย่ เอาไว้แล้ว พลันเซิ่นเหล่าลิ่วกรอกตาทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างหน้าด้านๆ ว่า “ไม่ก็ท่านบรรพบุรุษรับข้าเป็นศิษย์แต่ในนามก็แล้วกัน ข้าน้อยขอติดตามท่านไป”

“ทำวางแผนแยบยลในใจให้มันน้อยๆ หน่อย” หลี่ชิเย่เยาะเย้ยและด่าทอพร้อมกับหนึ่งฝ่ามือที่ซัดใส่ศีรษะของเขา “หรือว่าเซียนหวังตระกูลเจ้าจะทำให้เจ้าต้องเสียหน้าอย่างนั้นรึ?”

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่อย่างแน่นอน ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เซิ่นเหล่าลิ่วรีบเร่งตอบปฏิเสธ

“ไปเถอะ หากมีวาสนาต้องได้พบกันอีก” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ ให้กับเซิ่นเหล่าลิ่ว

เซิ่นเหล่าลิ่วเข้าใจแล้วว่าหลี่ชิเย่ได้มอบวาสนาให้กับเขาแล้ว วาสนาระหว่างกันก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ เขาก้มลงกราบกับพื้น โขกศีรษะเสียงดังให้หลี่ชิเย่สามครั้ง และกล่าวว่า “ข้าน้อยหวังว่าวันหน้าสามารถได้พบเห็นท่านบรรพบุรุษอีกครั้ง”

หลี่ชิเย่รับการแสดงคารวะเต็มรูปแบบจากเซิ่นเหล่าลิ่วด้วยความสงบ พยักหน้า จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง

หลังจากที่เซิ่นเหล่าลิ่วลุกขึ้นยืนและเห็นหลี่ชิเย่ได้เข้าฌานไปแล้ว จึงคำนับอีกครั้งหนึ่งจากนั้นล่องลอยจากไป

หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ คล้ายดั่งนอนหลับไปแล้ว เวลานี้เขาได้ทำจิตให้ว่างเปล่าเพื่อบรรลุถึงความละเอียดลึกซึ้งของสัจธรรม

หลี่ชิเย่ไม่ได้ไปจากเขาชมเทพในทันที เขารั้งอยู่ที่เขาชมเทพกลืนกินเมฆหมอก ดูดซับพลังขมุกขมัว บรรลุสัจธรรม และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพินิจพิเคราะห์ถึงชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์นั่น เพื่อทำการหลอมกลั่นให้กลายเป็นของๆ ตน

ชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่มีตัวอ่อนจำนวนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดชิ้นชุดนี้ แทบจะเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในโลก แม้ว่าชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้จะเทียบไม่ได้กับชุดที่อยู่ในมือของเซิ่นตี้ที่มีตัวอ่อนถึงเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น แต่ว่า ชุดตัวอ่อนที่เป็นที่รับรู้และเคยมีเจ้าของนั้น ไม่มีชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดไหนสามารถเทียบได้อีกแล้ว

หลี่ชิเย่ไม่ได้คาดหวังว่าชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่มีตัวอ่อนจำนวนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดชิ้นชุดนี้สามารถปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า และไม่ได้คาดหวังให้การได้มาซึ่งชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้สามารถเทียบได้กับชุดเซียนแท้จริงที่อยู่ในตำนาน

แต่ทว่า ชุดตัวอ่อนเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งพิสดารแขนงหนึ่ง โดยเฉพาะกับการที่สามารถทำการหลอมกลั่นให้สมบูรณ์แบบได้หรือไม่ สามารถทำให้ชุดตัวอ่อนของตนสำแดงพลังแฝงออกมาได้มากที่สุด เป็นเรื่องที่ทดสอบความสามารถของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนยิ่งนัก

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เฉกเช่นชุดตัวอ่อนที่มีจำนวนตัวอ่อนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดชิ้นชุดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเหมาะสำหรับการซ้อมมืออย่างไร้ที่ติ จะทำให้เขาสามารถเข้าใจถึงชุดตัวอ่อนได้ลึกมากขึ้นไปอีก ทำให้เขาสามารถควบคุมความลึกซึ้งพิสดารของชุดตัวอ่อนได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้นกว่าเดิม

หลี่ชิเย่ซุ่มฝึกอยู่บนเขาชมเทพ โดยมีเสิ่นเสี่ยวซันคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ กล่าวสำหรับพวกของเถี่ยซู่องในเวลานี้ การที่สามารถรั้งอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่คอยปรนนิบัติรับใช้ถือเป็นประทานที่ยิ่งใหญ่ เป็นเกียรติยศอันสูงส่ง ใช่จะได้มาง่ายดาย

ระหว่างที่หลี่ชิเย่ซุ่มฝึกอยู่บนเขาชมเทพอยู่นั้น ภายในเขตฉีหลินเรียกได้ว่าคึกคักขึ้นมา ดูคึกคักยิ่งนัก

“กี่ปีผ่านไป ในที่สุดเสิ่นเชียนจวินก็ได้เป็นจอมเทพแล้ว” มีระดับบรรพบุรุษที่แก่หงำเหงือกยิ่งนักอดที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่สะอื้นและหดหู่ เมื่อได้เห็นร่างเงาสูงหมื่นจ้างที่อยู่ในสหัสโลกธาตุนั่น

ระดับบรรพบุรุษที่เข้าสู่ยุทธภพพร้อมๆ กันกับเสิ่นเชียนจวิน ขณะที่ล่วงเลยมาถึงวันนี้เสิ่นเชียนจวินได้กลายเป็นจอมเทพที่ปราศจากผู้ต่อกรไปแล้ว จะไม่ให้ผู้คนต้องทอดถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกเศร้าโศกได้อย่างไร

การปรากฏตัวออกมาพร้อมกันของจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินในครั้งนี้ ทุกคนต่างรับรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา โดยเฉพาะการเดินทางมุ่งหน้าสู่ตระกูลราชันฉีหลินพร้อมกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจได้ว่าจะต้องเกิดพายุฝนกระหน่ำไปทั่วเมืองฉีหลินแน่นอน

“ช่างเป็นที่สะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน จอมเทพสององค์กลับคืนสู่โลกปัจจุบันพร้อมๆ กัน ออกจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่กระมัง” ผู้ยิ่งใหญ่บางคนอดที่จะพูดขึ้นมา เมื่อเห็นจอมเทพสององค์เดินทางไปยังตระกูลราชันฉีหลินพร้อมๆ กัน

“นี่เป็นการแสดงอำนาจนะเนี่ย และเป็นการยกระดับฐานะของสำนักเจ้าลัทธิทั้งสอง” มีผู้มีสติปัญญามองออกถึงเส้นสนกลในของเรื่องนี้ และกล่าวว่า “ผู้สืบทอดของตระกลูขุนนางโบราณหนานหยาง และสำนักเจอเยื่อต่างถูกสังหาร อีกทั้งพวกเขายังเป็นทายาทรุ่นหลังของจอมเทพ ถ้าหากไม่ทวงคืนความยุติธรรมนี้ มันจะส่งผลกระทบต่อฐานะของพวกเขาในเขตฉีหลิน อีกทั้งหากเป็นการเสนอข้อเรียกร้องต่อตระกูลราชันฉีหลินโดยเจ้าสำนักของทั้งสอง เกรงว่าตระกูลราชันฉีหลินคงไม่ให้ความสนใจ มีเพียงผู้ดำรงอยู่ในระดับจอมเทพเช่นนี้ออกหน้า ทางตระกูลราชันฉีหลินจึงจะให้ความสำคัญอย่างแท้จริง”

ทั้งสำนักเจอเยื่อ และตระกลูขุนนางโบราณหนานหยางต่างได้ชื่อว่าเป็นสำนักเจ้าลัทธิสองแห่งที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตฉีหลินของตระกูลราชันฉีหลิน เวลานี้ ผู้สืบทอดของพวกเขาถูกสังหารโดยผู้ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม หากพวกเขาไม่ทวงความยุติธรรมคืนมา ย่อมเป็นการกระทบต่อฐานะในตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขาโดยแท้จริง

ครั้นจอมเทพหนานหยางเดินทางมาถึงตระกูลราชันฉีหลินนั้น ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” เห็นเป็นพรมศักดิ์สิทธิ์สีทองแต่ละสายที่ถูกปูลาดขึ้นมา บุปผาสวรรค์โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า พื้นดินปรากฏน้ำพุทองคำที่พวยพุ่งขึ้นมา เสียงภูติที่ร้องเพลงขับขาน ในเวลานี้ประกายสีทองที่กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ทั่วทั้งบริเวณตระกูลราชันฉีหลินล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การปกคลุมด้วยประกายของเซียนหวัง อานุภาพราชันสูงสุดที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงละเมิดได้

แม้ว่าตระกูลราชันฉีหลินไม่ได้มีท่าทีที่สะเทือนฟ้าดิน แต่ว่า ยามที่ตระกูลราชันฉีหลินตลบอบอวลไปด้วยประกายของเซียนหวัง และอานุภาพราชันเซียนสูงสุดที่เข้าปกคลุมนั้น ก็เท่ากับเป็นการบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่าง และพียงพอที่จะบอกว่าตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากพอ

ภายในตระกูลราชันฉีหลินได้มีระดับผู้ยิ่งใหญ่ออกมาให้การต้อนรับการมาถึงของจอมเทพหนานหยาง

ต่อให้จอมเทพหนานหยางมาด้วยตนเอง หลังจากที่มาถึงตระกูลราชันฉีหลินแล้วก็ต้องยับยั้งชั่งใจตนเอง ด้วยการก้าวลงจากเกี้ยวแล้วเดินเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลิน

แม้ว่าระดับจอมเทพได้ชื่อว่าปราศจากผู้ต่อกร และตระกลูขุนนางโบราณหนานหยางกับสำนักเจอเยื่อก็มีความแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้ายักษ์ใหญ่อย่างตระกูลราชันฉีหลิน ต่อให้เป็นจอมเทพก็ต้องรักษาความเป็นผู้ที่สามารถยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล