เริ่มจากบุตรชายของเขาเสิ่นจินหลงตายอนาถภายใต้เงื้อมมือของหลี่ชิเย่ เวลานี้ ศิษย์โปรดของเขาก็ไม่อาจหลีกหนีจากเคราะห์กรรมนี้ไปได้ ในขณะนี้จะไม่ให้เสิ่นเชียนจวินโกรธก็คงยาก มันเป็นแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้
สำหรับบรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่นิ่งเงียบ อย่างมากก็แค่จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่เท่านั้นเอง
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ชิเย่ไม่ได้กระดิกกระทั่งนิ้วด้วยซ้ำ เขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เท่านั้นเอง ขณะที่จอมทิพย์งูหลามทองกลับถูกไหม้จนเป็นจุน
“นี่มันคืออภินิหารใดกันแน่?” สุดท้าย แม้แต่จอมเทพหนานหยางก็อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมา เดิมทีเขาต้องการหาเรื่องหลี่ชิเย่ ต้องการเอาชนะหลี่ชิเย่เพื่อกูหน้าของตนกลับคืนมา
แต่ว่า เวลานี้เมื่อได้เห็นอภินิหารลักษณะเช่นนี้แล้ว ทำให้ภายในใจของจอมเทพหนานหยางเต็มไปด้วยความฉงน ขณะเดียวกันก็เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ก่อนหน้านั้น จอมเทพหนานหยางเข้าใจว่าทั้งหมดที่เห็นเป็นเพียงการแสดงอภินิหารที่เป็นมายาของหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจริงเท่านั้น สุดท้ายแล้วมันยังคงเป็นเพียงภาพมายา
ขณะจอมทิพย์งูหลามทองถูกเผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าธุลีนั้น ทำให้จอมเทพหนานหยางเข้าใจได้ว่า นี่มันไม่เพียงแค่มายาเท่านั้น ในนั้นเกี่ยวพันถึงสุดยอดอภินิหารสูงสุดอย่างหนึ่ง อีกทั้งเป็นสุดยอดอภินิหารสูงสุดที่พวกเขาไม่เคยรับรู้และไม่เคยเห็นมาก่อน
ควรจะทราบว่า ทั้งจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินต่างก็เป็นผู้ที่มีอายุอยู่มาอย่างยาวนาน พวกเขาก้าวขึ้นสู่ระดับจอมเทพ เรียกได้ว่ามีความรู้ประสบการณ์ที่สูงมาก พวกเขากระทั่งเคยพบเจอ และเคยคบหากับจอมราชันเซียนหวังมาก่อน เรียกได้ว่าในโลกนี้เคล็ดวิชาใดๆ หรืออภินิหารใดๆ ที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมานั้นคงมีอยู่ไม่มาก
ต่อให้จอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินจะมีความรู้ประสบการณ์ที่กว้างขวางยิ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เคยพบเห็นอภินิหารจากตำราระลึกมาก่อน การที่พวกเขาดูไม่ออกถึงความลึกซึ้งพิสดารก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลก
ในโลกหล้า ยกเว้นหลี่ชิเย่ในขณะนี้แล้ว มีเพียงราชันเทพชิงมู่ที่เคยฝึกตำราระลึกมาก่อน แต่ว่า นับแต่อดีตกาลที่ผ่านมา ในสิบสามทวีปมีผู้ที่เคยพบเห็นราชันเทพชิงมู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เล่าลือกันว่าผู้ที่เคยพบเจอราชันเทพชิงมูจริงๆ คงมีไม่เกินห้าคน ส่วนจะมีใครได้เคยเห็นราชันเทพชิงมู่สำแดงอภินิหารจากตำราระลึกนั้น คงไม่สามารถรู้ได้
ในโลกนี้นอกจากการสำแดงโดยหลี่ชิเย่ในเวลานี้แล้ว ก่อนหน้านั้นเกรงว่าคงไม่เคยมีใครได้เคยเห็นราชันเทพชิงมู่สำแดงอภินิหารจากตำราระลึกแล้ว
“ความคิดแวบหนึ่งบังเกิดหมื่นสัจธรรม ความคิดแวบหนึ่งสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ความคิดแวบหนึ่งปกครองจักรวาล” สำหรับความฉงนของจอมเทพหนานหยางนั้น หลี่ชิเย่เพียงยิ้มกล่าวขึ้นมาตามอารมณ์เท่านั้น
“ความคิดแวบหนึ่งบังเกิดหมื่นสัจธรรม ความคิดแวบหนึ่งสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ความคิดแวบหนึ่งปกครองจักรวาล!” จอมเทพหนานหยางพยายามทำความเข้าใจ และศึกษาอย่างละเอียดถึงความลึกซึ้งพิสดารที่อยู่ภายใน เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว
สำหรับบรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่นั่งอยู่บริเวณบันไดหินนั้น พวกเขาต่างมองหน้ากันและกัน ความคิดแวบหนึ่งบังเกิดหมื่นสัจธรรม ความคิดแวบหนึ่งสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ความคิดแวบหนึ่งปกครองจักรวาล พวกเขาต่างรู้สึกว่าคำพูดนี้ออกจะยโสเกินไปแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า ในโลกนี้ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้น “ความคิดแวบหนึ่งบังเกิดหมื่นสัจธรรม ความคิดแวบหนึ่งสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ความคิดแวบหนึ่งปกครองจักรวาล” โดยแท้จริงนั้นไม่มีอยู่จริง เว้นแต่สวรรค์เท่านั้น!
ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนก็เป็นไปไม่ได้สามารถทำได้ถึงขนาดความคิดแวบหนึ่งบังเกิดหมื่นสัจธรรม ความคิดแวบหนึ่งสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ความคิดแวบหนึ่งปกครองจักรวาลได้
“พูดให้คนอื่นเข้าใจผิด อาศัยเจ้าหน่ะหรือก็กล้ากล่าววาจะสามหาว ความคิดแวบหนึ่งบังเกิดหมื่นสัจธรรมไหนเลยเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้” จอมเทพเชียนจวินส่งเสียงเย็นชาออกมา และกล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมา
หลี่ชิเย่ไม่สนว่าจอมเทพเชียนจวินจะเชื่อหรือไม่ กล่าวท่าทีตามอารมณ์ไปว่า “ใช่หรือไม่เจ้ามาลองดูสักหน่อยก็รู้เองแล้ว”
“ฮึ” จอมเทพเชียนจวินส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา เมื่อเผชิญกับการท้าทายของหลี่ชิเย่ แววตาดูน่ากลัว พลันเผยปณิธานการฆ่าออกมา ทุกๆ ประกายตาที่ปรากฎออกมาก็คล้ายดั่งเป็นประกายกระบี่ที่ทารุณโหดร้ายที่สุดในโลก สามารถสับผู้คนให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นอย่างนั้น แม้จอมเทพเชียนจวินยังไม่ทันได้ลงมือ บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็รู้สึกได้แล้วว่าเนื้อหนังของตนเจ็บแปลบๆ ขึ้นมา ประกายตาของเขาเสมือนหนึ่งเป็นคมมีดที่เชือดเฉือนบนร่างกายแต่ละครั้งอย่างนั้น ทำให้พวกเขาอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้
“ทุกท่าน” เวลานี้ ฉีหลินกว่านลี่ได้ลุกขึ้นยืนพูดไกล่เกลี่ยขึ้นมาว่า “เอาอย่างนี้ ทุกท่านต่างถอยกันคนละก้าวดีไหม?” มาคราวนี้ จอมเทพหนานหยางไม่พูดอะไรออกมากับการลุกขึ้นมาพูดจาไกล่เกลี่ยของฉีหลินกว่านลี่ในครั้งนี้ การมาหาเรื่องกับหลี่ชิเย่ของเขาในครั้งนี้ หลักใหญ่คือต้องการกู้หน้าของตนกลับมา เวลานี้เมื่อได้เห็นอภินิหารของหลี่ชิเย่แล้ว ทำให้เขาไม่อาจไม่คิดรอบคอบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ในใจของจอมเทพหนานหยางเวลานี้เกิดความลังเลขึ้นมา เป็นความจริงที่ครั้งก่อนหลี่ชิเย่ได้ทำลายปณิธานของเขา เขาจึงต้องการสั่งสอนหลี่ชิเย่สักครั้ง ให้เขาได้รู้ว่าจอมเทพอย่างเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาท้าทายได้
เวลานี้ความตั้งใจดังกล่าวได้เกิดหวั่นไหวขึ้นมา เนื่องจากเขาเองชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะสามารถกู้หน้าคืนได้หรือไม่ ถ้าหากการสั่งสอนหลี่ชิเย่ไม่บังเกิดผลแล้วลากตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย เท่ากับเป็นการนึกว่าตัวเองฉลาด กลับกลายเป็นปล่อยไก่เสียแล้ว
เมื่อจอมเทพหนานหยางไม่พูดไม่จา ทำให้จอมเทพหนานหยางมองออกถึงเส้นสนกลในบางอย่าง เขาจึงรีบกล่าวขึ้นมาว่า “วิถีทางยาวไกล บุญคุณความแค้นเข่นฆ่าล้างแค้นมีให้เห็นอยู่ทุกวัน การประลองกันระหว่างกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่เคยหยุดนิ่งมาก่อน เส้นทางมุ่งไปยังจอมราชันเซียนหวังปูลาดด้วยโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกๆ วันก็ต้องมีดาวรุ่งที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ร่วงหล่นลงมา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...