ผู้ที่ก้าวมาถึงระดับเช่นจอมเทพท่าซิง ย่อมรู้เรื่องความลับอะไรต่างๆ มากกว่า
จากนั้น จอมเทพท่าซิงได้กล่าวอีกว่า “เจ้าหนูเหรินเซิ่นคนนี้แม้ว่าพลาดโอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่ายังคงมีพลังแฝงอยู่ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เขามีสายเลือดไร้ขีดจำกัด ในอนาคตเขายังเปี่ยมด้วยความหวัง หากใต้เท้าสนใจสามารถไปตรวจสอบสักครั้งหนึ่ง”
สายเลือดไร้ขีดจำกัดเป็นหนึ่งในสองสายเลือดโบราณของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูกจัดให้อยู่ภายใต้สายเลือดราชามนุษย์คู่กับสายเลือดเก้ากระถางของจอมเทพท่าซิง อาจกล่าวได้ว่าหากชายหนุ่มลักษณะเช่นนี้สามารถเป็นเซียนหวังล่ะก็ ในอนาคตย่อมมีพลังแฝงไม่มีสิ้นสุดอย่างแท้จริง
“เรื่องเช่นนี้ต้องขึ้นอยู่กับวาสนา” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ขอเพียงมีวาสนา ย่อมต้องมีโอกาสอยู่แล้ว”
จอมเทพท่าซิงเองก็ต้องพยักหน้ากับคำพูดเช่นนี้ แม้จะกล่าวว่าเหรินเซิ่นนั้นสุดยอดยากจะหาผู้ใดเทียม แต่ว่า ใต้เท้าเคยพบเจอดาวรุ่งมามากมายเหลือเกิน แม้แต่เลือดเซียนก็เคยเห็นมาแล้ว เลือดโบราณจึงไม่แน่ว่าจะสามารถเข้าตาของเขาได้
“การมาคราวนี้ของใต้เท้าต้องการเดินทางไปที่ใดรึ? เข้าไปในแดนแห่งการสืบค้นรึ? หรือบางทีอาจไปพบกับจอมราชันเซียนหวัง?” จอมเทพท่าซิงเอ่ยถามขึ้นมา
ณ แดนแห่งการสืบค้นที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มีจอมราชันเซียนหวัง จอมเทพ และเทพโบราณที่หลบซ่อนตัวอยู่ในนั้นเป็นจำนวนไม่น้อย ถ้าหากจะมีผู้ที่มีสิทธิ์ไปเยี่ยมคารวะจอมราชันเซียนหวัง ก็จะต้องเดินทางไปที่แดนแห่งการสืบค้นแน่นอน
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “พบกับจอมราชันเซียนหวังหรือไม่นั้นยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตัดสินใจ ข้าตั้งใจจะไปที่ไกลกันดารสักครั้ง สถานที่แห่งนั้นมีวาสนากับข้าอยู่บ้าง”
“ไกลกันดาร…” จอมเทพท่าซิงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำๆ นี้ และกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้ไปกันยากนะ ฟังมาว่าราชันซื่อตี้เคยไปอยู่ครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็กลับมามือเปล่า”
ต่อให้เป็นระดับจอมเทพอย่างเขายังอดที่จะกังวลไม่ได้เมื่อพูดถึงไกลกันดาร ความจริงแล้วสถานที่ที่ชื่อว่าไกลกันดารแห่งนี้แม้แต่จอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปโดยง่ายดาย
“ปล่อยไปตามวาสนาเถอะ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “เรื่องบางเรื่องไม่สามารถฝืนได้อยู่แล้ว ข้าแค่ต้องการไปครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร จะอย่างไรเสียเวลาผ่านไปนานมากเกินไปแล้ว นานจนไม่สามารถไล่เรียงอีกแล้ว สิ่งของบางสิ่ง เรื่องราวบางเรื่องไม่สามารถขุดลึกลงไปได้อีกแล้ว”
“ข้าเชื่อว่าใต้เท้าสามารถทำได้สำเร็จ ถ้าหากแม้ใต้เท้ายังทำไม่สำเร็จ คนอื่นๆ ยิ่งยากที่จะทำได้อีกแล้ว” จอมเทพท่าซิงยิ้มกล่าว
หลี่ชิเย่ยิ้มและพยักหน้า พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “การปิดกั้นสิบสามทวีปในครั้งนี้เป็นความคิดของใครกัน?”
จอมเทพท่าซิงกล่าวว่า “ข้าเองไม่ได้ไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในครั้งนี้ การปิดกั้นสิบสามทวีปในครั้งนี้ฟังว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าสวรรค์ ผู้ริเริ่มหากไม่ใช่ราชันซื่อตี้ก็คือพวกสวรรค์ ยุคหลังใต้เท้าไม่ได้อยู่ในสิบสามทวีป ในยุทธภพมีเหตุการณ์แปลกๆ มีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นถี่มาก…”
“…ดังนั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนร่วมปรึกษาหารือกัน เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ดังนั้น จึงร่วมปรึกษาหารือให้มีการปิดกั้น ตัดขาดการเชื่อมต่อกันของสิบสามทวีป ป้องกันเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วลามไปทั่วทั้งสิบสามทวีป ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน!”
“ความกังวลของพวกราชันซื่อตี้ใช่จะไม่มีเหตุผล” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “ภายหลังการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ใครจะไปรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บทเรียนจากอเวจีเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันลืมเลือน เมื่อมีบทเรียนจากคราวก่อนระวังเอาไว้บ้างก็ดี อย่างน้อยก็ยังได้ป้องกันไว้บ้าง”
“ตามความเห็นของข้า พวกเขากำลังย้อมแมวขายเท่านั้นเอง การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่หกผ่านไปนานขนาดนี้พวกเขาเพิ่งจะมาทำเรื่องนี้ เกรงว่าจะมีแผนการอย่างอื่น” จอมเทพท่าซิงหัวเราะและกล่าวว่า “พวกราชันซื่อตี้เกรงว่าใต้เท้าจะมาแดนสิบอีกครั้ง ดังนั้น จึงชิงลงมือก่อนด้วยการปิดกั้น ปิดบังซ่อนเร้นความลับสวรรค์ เพื่อสะดวกต่อการที่พวกเขาจะลอบโจมตีต่อใต้เท้า”
“เรื่องนี้กลับไม่เป็นปัญหา ต่อให้พวกเขาไม่ทำการปิดกั้นก็จะไม่มีใครรุดมาช่วยเหลือ เรื่องนี้ก่อนที่ข้าจะไปจากในครั้งนั้นก็มีการตกลงกันแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ราชันซื่อตี้เป็นศัตรูกับข้ามาทุกยุคทุกสมัย เรื่องบางเรื่องเขาก็รู้ดี เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเอง”
“คงมีสักวันที่ต้องคิดบัญชีกันอยู่แล้ว” จอมเทพท่าซิงกล่าวว่า “การศึกในครั้งนั้น เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่ายังคงไม่ยอมรับจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาไม่สามารถกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้”
“ใครจะเป็นฝ่ายคิดบัญชีใครยังไม่รู้เลย” หลี่ชิเย่ส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “ในอนาคตสถานการณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่แน่นักเมื่อถึงเวลานั้นผู้ที่จะถูกคิดบัญชีไม่เพียงแต่พวกเราเท่านั้น บางทีอาจมีวันนั้น จะเป็นร้อยชาติพันธุ์ก็ดี เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่าก็ช่าง ล้วนแล้วแต่หนีชะตาที่ต้องถูกปิดบัญชีก็เป็นได้”
“ความหมายของใต้เท้าคือ…” สีหน้าของจอมเทพท่าซิงเปลี่ยนไปมากเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แม้แต่หลี่ชิเย่ยังพูดคำๆ นี้ออกมา นั่นย่อมบ่งบอกว่าสถานการณ์ไม่สู้จะดีนัก
“เป็นเพียงความน่าจะเป็นอย่างหนึ่งเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ยุคสมัยนานเกินไปแล้ว เมื่อตกผลึกมาถึงสถานที่เช่นนี้นับว่ารุ่งเรื่องขีดสุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะมีกฎเกณฑ์ มีระเบียบของมัน รุ่งเรื่องถึงขีดสุดแล้วเสื่อม หาใช่เป็นเรื่องที่จะต้องตื่นตะหนกแปลกใจอะไร”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้จิตใจของจอมเทพท่าซิงรู้สึกหดหู่ขึ้น ถึงกับพูดออกมาว่า “หรือว่าข้าสามารถมองเห็นวันนั้นมาถึงอย่างนั้นรึ?”
“เรื่องนี้พูดยาก” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ช่างเถอะ พวกเราไม่พูดเรื่องนี้อีก พูดมากไปก็จะกลายเป็นกังวลเกินเหตุแล้ว ปล่อยไปตามกรรมเถอะ”
“ก็ถูก” จอมเทพท่าซิงถึงกับหัวเราะขึ้นมา
หลี่ชิเย่กับจอมเทพท่าซิงไม่ได้พบกันมานานมาก จึงไม่พูดถึงเรื่องหนักๆ เรื่องอื่นอีก เพียงพูดคุยเฉพาะเรื่องทั่วๆ ไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...