ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1894

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ขึ้นฝั่งแล้ว โดยมีธิดาราชันฉีหลินติดตามขึ้นไปด้วย เมื่อธิดาราชันฉีหลินขึ้นฝั่งและมองออกไปถึงกับตะลึงงันทันที

ริมฝั่งมีบันไดหินแห่งหนึ่งทอดยาวขึ้นไปถึงภูเขาลูกหนึ่ง เป็นภูเขาที่มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เมื่อยืนอยู่บริเวณตีนเขาและมองขึ้นไปข้างบน มองเห็นศาลเจ้าบนยอดเขาลางๆ สามารถมองเห็นชายคาได้

บันไดหินทอดยาวต่อเนื่องขึ้นไป สองข้างซ้ายขวากลับปรากฏมีต้นไม้สีเขียวที่พลิ้วไหว มีทั้งต้นโพธิ์ที่พริ้วไหว และมีเงาของต้นจินกังที่ทอดเลือนลางขวางอยู่ในน้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีต้นที่สูงตระหง่านชี้ฟ้าอย่างต้นสนใบพาย…

ภาพเช่นนี้นับว่าธรรมดามากหากอยู่ในชิงโจว ขนาดของภูเขาไม่ได้สูงใหญ่ และไม่ใช่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อะไร บันไดหินก็ธรรมดา เป็นเพียงหินที่ธรรมดาสุดๆ ชนิดหนึ่งเท่านั้น กระทั่งการมีต้นหญ้าแต่ละต้นที่งอกออกมาจากซอกหิน ต้นไม้สีเขียวที่ขึ้นอยู่ด้านข้างซ้ายขวาทั้งสองข้าง เป็นภาพที่ปรกติมากจนไม่รู้ว่าปรกติอย่างไรแล้ว

แต่ทว่า ขณะที่ภาพเช่นนี้ปรากฏในแดนแห่งการสืบค้นทุกอย่างดูจะไม่ปรกติเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือฝอเหย่อีกด้วย!

ธิดาราชันฉีหลินแทบไม่อยากเชื่อเมื่อมองเห็นภาพของต้นไม้สีเขียวที่กำลังพลิ้วไหวนั่น เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นต้นไม้ที่มีความหมายของคำว่าต้นไม้จริงๆ หลังจากที่ได้มาถึงแดนแห่งความสืบค้นแล้ว แม้ว่าในฝอเหย่จะเต็มไปด้วยต้นหญ้าที่เหลืองเฉา แต่นั่นไม่ถือว่าเป็นต้นไม้และใบหญ้าที่เขียวขจี ภาพที่เขียวชอุ่มตรงหน้าจึงนับเป็นต้นไม้และใบหญ้าที่เขียวขจีอย่างแท้จริง

เป็นที่ทราบกันดีว่า บรรดาสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในแดนแห่งการสืบค้นล้วนแล้วแต่เป็นเศษซากปรักหักพังของยุคสมัยที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ทั้งสิ้น สถานที่แห่งนี้ได้ถูกพลังบดขยี้ทำลายไปแล้ว เป็นกาลเวลาที่ถูกบดขยี้จนแหลกลาญ ณ ที่ตรงนี้ยากจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตได้อีกแล้ว

แต่ทว่า กลับมีต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจีงอกงามเกิดขึ้นที่นี่ ไม่ได้แตกต่างไปจากมุมใดมุมหนึ่งของชิวโจวอย่างสิ้นเชิง

ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางฝอเหย่ ธิดาราชันฉีหลินยังเข้าใจว่าตัวเองยืนอยู่บนยอดเขาแห่งใดแห่งหนึ่งในชิงโจวเสียอีก สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนแดนแห่งการสืบค้นสักนิด และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้มีบรรยากาศที่เป็นพลังขมุกขมัวออกเป็นสีเทาๆ อย่างนั้น

แม้ว่าจะเป็นภาพที่เห็นมากับตาตนเอง แต่ ธิดาราชันฉีหลินยังคงเข้าใจว่าตนเองนั้นตาลายไปหรือไม่ อดที่จะขยี้ตาของตนเองไม่ได้

“ไม่ต้องขยี้ตาแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นความจริง เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ยากมาก การทำลายไม่สามารถทำได้เด็ดขาดขนาดนั้น”

ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวยิ่งนัก หลังจากที่ยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง ฝอเหย่คือยุคสมัยที่ถูกบดขยี้จะแหลกละเอียดไปแล้ว คือกาลเวลาที่ถูกทำลายล้างไม่เหลืออะไรอีกต่อไป พลังทำลายได้ทำให้ฝอเหย่กลายเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่ว่า ที่ตรงนี้กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา เป็นพลังแบบไหนกันเล่าที่ปกป้องคุ้มครองสถานที่แห่งนี้เอาไว้

ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ก้าวเท้าเดินตามบันไดหินขึ้นไป เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาจึงเร่งรีบก้าวตามไป

สำหรับผีดิบสงฆ์ที่หมอบกราบอยู่กับพื้นนั่นกลับไม่มีความเคลื่อนไหว เสมือนหนึ่งเป็นก้อนหินที่หมอบอยู่ตรงนั้น มันไม่กล้าที่จะติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นไป

เพียงชั่วครู่เท่านั้น ธิดาราชันฉีหลินก็ติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นไปถึงยังยอดเขา ยอดเขาไม่ได้สูงนัก แต่ว่า ภายใต้ท้องฟ้ากลับรู้สึกว่ามันห่างจากจักรวาลใกล้เหลือเกิน เหมือนหนึ่งแค่เอื้อมมือออกไปก็สามารถคว้าเอาดวงดาวติดมือกลับมาได้แล้ว ภายใต้ท้องฟ้าแห่งนี้ ยอดเขาลูกนี้ดูจะมีความคล่องตัวยากจะคาดเดาเป็นพิเศษ เสมือนหนึ่งได้หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม

บนยอดเขาแห่งนี้มีศาลเจ้าเก่าแก่ขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปอยู่หลังหนึ่ง ตัวศาลเจ้าเก่าแก่มีลักษณะเรียบง่ายไม่มีการประดับตกแต่งอะไรมากนัก ประตูศาลเจ้าเปิดออก เหมือนหนึ่งว่าพร้อมเปิดรับผู้มีจิตศรัทธาจากทุกทิศทุกทาง

ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในศาลเจ้าเก่าแก่แล้ว โดยมีธิดาราชันฉีหลินที่ติดตามเข้าไป ภายในศาลเจ้าไม่ได้มีสิ่งของที่เกินความจำเป็นมากมายนัก มองเห็นพระพุทธรูปแปดองค์นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในศาลเจ้า ครั้งแรกที่มองเห็นยังเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูป แต่เมื่อมองดูให้ละเอียดก็จะพบว่ามันไม่ใช่พระพุทธรูป แต่เป็นกายเนื้อของอริยสงฆ์

กายเนื้อของอริยสงฆ์ทั้งแปดรูปยังคงอยู่ในสภาพดี กายเนื้อทั้งแปดรูปไม่มีอำนาจที่สะเทือนฟ้า และไม่มีจิตวิญญาณความเป็นพระที่ยิ่งใหญ่ กายเนื้อมีลักษณะแห้งและเป็นสีเทาเข้ม กายเนื้อที่แห้งไม่ได้มีลักษณะที่แข็งเหมือนดั่งเหล็ก กลับรู้สึกหย่อนยานเหมือนร่างกายของคนแก่ที่ใกล้ฝั่งอย่างนั้น

ด้วยกายเนื้อทั้งแปดรูปที่ไม่ได้สะดุดตาแต่อย่างใดนี้แหละ พลันที่ธิดาราชันฉีหลินก้าวเท้าเข้าไปและมองเห็นกายเนื้อทั้งแปดรูป “ตึง” นางถึงกับคุกเขาลงกับพื้นโดยที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ท่าทีเหมือนสยบทั้งกายและใจ หมอบกราบกับพื้น ศีรษะก้มลงต่ำ แลดูศรัทธายิ่งนัก

สิ่งนี้ใช่ว่าธิดาราชันฉีหลินต้องการกราบ ขณะที่นางก้มลงกราบนั้นมันคือการศิโรราบโดยสัญชาตญาณ ลักษณะของการศิโรราบเช่นนี้ธิดาราชันฉีหลินไม่สามารถขัดขืนได้เลย อักทั้งยิ่งไปกว่านี้ก็คือ สัญชาตญาณของธิดาราชันฉีหลินกลับไม่ยอมขัดขืนการศิโรราบเช่นนี้ ในเวลานี้ ท่าทางของธิดาราชันฉีหลินมีความศรัทธายิ่งนัก เป็นความศรัทธาที่ออกมาจากสัญชาตญาณ

การหมอบกราบกับพื้นของธิดาราชันฉีหลินนั้น ไม่ได้มีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรที่ไปสยบนางเอาไว้ ไม่ได้มีพลังที่น่าเกรงขามไปสยบนาง แต่ว่า นางกลับบังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านต้องการจะกราบไหว้ที่ออกมาจากใจ โดยศิโรราบทั้งกายและใจที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล