ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เสียดาย วิธีนี้ยังคงใช้การไม่ได้ ยังคงไม่สามารถรักษายุคสมัยของพวกเขาเอาไว้ได้ ท้ายที่สุด ยุคสมัยที่เจิดจรัสรุ่งเรืองยังคงหนีโชคชะตาการล่มสลายไปไม่พ้น โลกธาตุที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตคงเหลือเอาไว้เพียงฝอเหย่เท่านั้นเอง”
“ด้วยพลังทั้งหมดของยุคสมัยยังไม่สามารถต้านทานพลังการทำลายล้างได้หรือ?” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับกล่าวด้วยความสะเทือนหวั่นไหว นางไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามันเป็นการทำลายล้างแบบไหนกัน ขนาดพลังทั้งหมดของยุคสมัยๆ หนึ่งจึงต้านเอาไว้ไม่ได้
“บางครั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนมากหรือน้อย” หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลินทีหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ในบางครั้งใช่ว่าเจ้าสามารถรวบรวมจำนวนคนได้มากเท่าไร เจ้าก็จะรวบรวมพลังได้แข็งแกร่งมากเท่านั้น และมีความได้เปรียบมากขึ้น ที่นี่เป็นยุคสมัยที่ว่ากันด้วยเรื่องของกฎแห่งกรรม ถ้าหากเจ้ารวบรวมเอาพลังทั้งหมดของยุคสมัยเอาไว้ นั่นหมายถึงเป็นกฎแห่งกรรมของยุคสมัยนั้นทั้งหมด เพราะว่าทุกๆ คนต่างก็มีกฎแห่งกรรมของตนเอง”
“เมื่อคนแต่ละคนมารวมตัวกันนั้น มันหาใช่เป็นการรวบรวมเอาพลังทั้งหมดเอาไว้ นั่นเป็นการการรวบรวมเอากฎแห่งกรรมทั้งหมดเอาไว้ กฎแห่งกรรมที่ไม่สามารถฝืนได้ ต่อให้จำนวนคนมากกว่านี้ก็ตามมันก็แค่เม็ดทรายที่กระจัดกระจายเท่านั้นเอง คล้ายดั่งเม็ดทรายที่อยู่ในแม่น้ำเหิงเหออย่างนั้น ปริมาณเม็ดทรายในแม่น้ำเหิงเหอ ต่อให้มีจำนวนมากสักเท่าไร สิ่งที่ก่อขึ้นมาก็แค่ปราสาททรายเท่านั้นเอง” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขาจ้องมองอริยสงฆ์ทั้งแปดที่อยู่ตรงหน้า
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับนิ่งเงียบกับคำพูดนี้เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ การล่มสลายของยุคสมัยหนึ่ง เป็นเรื่องที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
“แล้วอริยสงฆ์รูปที่จากไปหล่ะ?” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เขามรณะภาพไปแล้วรึ?”
“ไม่ เขาหลบซ่อนตัวเอาไว้ สุดท้ายเขาหลบพ้นการล่มสลายของยุคสมัยนั้นไปได้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เขารอดชีวิตมาได้ แต่ รอดชีวิตมาได้แล้วเป็นอย่างไร ยุคสมัยของเขาได้กลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว เขาไม่ได้คงอยู่ในยุคสมัยใดๆ อีกต่อไปแล้ว เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ปรากฎตัวในสายน้ำแห่งกาลเวลาได้ เขาได้แต่หลบซ่อนตัวต่อไป เมื่อใดที่เขาปรากฏตัวออกมาก็จะต้องถูกสังหาร และถูกขัดขวางอย่างหนัก!”
“ถึงกับมีคนรอดชีวิตมาได้จากการล่มสลายของยุคสมัย!” ข่าวนี้สร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับธิดาราชันฉีหลินอย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน นางถึงกับกล่าวด้วยความตระหนกว่า “อริยสงฆ์รูปนี้หลบอยู่ที่ใด?”
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ โดยไม่ได้ตอบคำถามของธิดาราชันฉีหลิน เพียงจ้องมองไปที่อริยสงฆ์ทั้งแปดเท่านั้น
เมื่อธิดาราชันฉีหลินเห็นหลี่ชิเย่ไม่ยอมตอบคำถามจึงไม่กล้าถามต่อ
หลี่ชิเย่ละสายตากลับมาหลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ชี้ไปที่ด้านซ้ายด้านขวาทั้งสองด้าน และกล่าวว่า “ผนังซ้ายขวาแต่ละด้านต่างมีประตูที่เชื่อมต่อไปยังสัจธรรมที่ลึกซึ้งพิสดารอยู่บานหนึ่ง เจ้าจะได้อะไรจากประตูนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเจ้าเอง เวลานี้เจ้ามีโอกาสเพียงครั้งเดียว ระหว่างประตูสองบานด้านซ้ายขวาของศาลเจ้าสามารถเลือกเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น เจ้าจะเลือกข้างไหน?”
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับมองไปที่ด้านซ้ายที แล้วมองไปที่ด้านขวาที โดยที่ทั้งสองด้านไม่มีข้อแตกต่างใดๆ ผนังทั้งสองด้านล้วนแล้วแต่ก่อขึ้นมาด้วยอิฐสีดำ กระทั่งเรียกได้ว่าเหมือนกันยังกับแกะทั้งสองด้าน ไม่มีข้อแตกต่างใดๆ เลย
“ระหว่างด้านซ้ายและด้านขวามีข้อแตกต่างกันรึ?” ธิดาราชันฉีหลินได้แต่ขอความช่วยเหลือจากหลี่ชิเย่หลังจากที่มองดูผนังซ้ายขวาทั้งสองด้านแล้วไม่เห็นข้อแตกต่าง
“ด้านซ้ายคือวิถีของกฎแห่งกรรม” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “ด้านขวาคือความล้ำเลิศของพุทธศาสนา เจ้าจะเลือกวิธีของกฎแห่งกรรม หรือเลือกความล้ำเลิศของพุทธศาสนาหละ?”
คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความตะลึงให้กับธิดาราชันฉีหลินอีกครั้ง นางไม่เคยได้สัมผัสกับวิถีของกฎแห่งกรรม ความล้ำเลิศของพุทธศาสนาอะไรอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าทั้งสองอย่างมีข้อแตกต่างอย่างไร
“งั้นเลือกด้านขวาก็แล้วกัน” ธิดาราชันฉีหลินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเลือกสิ่งไหนดีกว่า จึงเลือกผนังด้านขวาที่อยู่ใกล้กับตนมากที่สุด ซึ่งก็คือความล้ำเลิศของพุทธศาสนาที่หลี่ชิเย่พูดถึงนั่น
“ไปเถอะ วาสนารอเจ้าอยู่ ส่วนจะได้วาสนาเช่นใดนั้นขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง” หลี่ชิเย่สั่งการออกไป
ธิดาราชันฉีหลินยืนอยู่ข้างผนังมองดูก้อนอิฐแต่ละก้อนแต่ก็จนด้วยเกล้า ได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือจากหลี่ชิเย่ “ทำอย่างไรถึงจะได้พบเห็นความล้ำเลิศของพุทธศาสนาเล่า?”
บนผนังของศาลเจ้านอกเหนือจากก้อนอิฐแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย และไม่ได้มีการสลักเคล็ดวิชาอะไรเอาไว้
“ฝ่ามือทาบบนผนัง ขจัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไป เคลื่อนไหวไปตามใจ ขอเพียงเจ้าสามารถมองเห็นความตั้งใจแรกเริ่มของเจ้า เจ้าก็จะเข้าไปได้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ
หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่แล้ว นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งและขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป มือทั้งสองทาบลงบนผนังของศาลเจ้า
ในเวลานี้มีแต่ความเงียบสงัด สามารถได้ยินเสียงหายใจเข้าออกของธิดาราชันฉีหลิน เวลาผ่านไปทุกวินาที ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ได้ยินเสียง “แว้งค์” ดังขึ้น มองเห็นผนังของศาลเจ้าพลันกลายเป็นเลือนรางขึ้น เหมือนว่าผนังของศาลเจ้ากำลังค่อยๆ เลือนหายไปอย่างนั้น จากนั้น ช่องว่างของอากาศคล้ายดั่งเป็นน้ำในบึงที่ถูกโยนก้อนหินลงไป ทำให้เกิดเป็นวังวนขึ้น ได้ยินเสียงดัง “ปุ” จากนั้นร่างของธิดาราชันฉีหลินก็ได้หายตัวไป
หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินหายตัวไปแล้ว ผนังศาลเจ้าดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่มีอะไรเป็นที่ผิดสังเกต เหมือนหนึ่งไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน และธิดาราชันฉีหลินก็ไม่เคยมาที่นี่เลยอย่างนั้น
หลังจากที่หลี่ชิเย่มองดูการหายตัวไปของธิดาราชันฉีหลินแล้วเพียงยิ้มๆ นิดหนึ่ง เวลานี้เขาเดินอ้อมอริยสงฆ์ทั้งแปดแล้วไปยืนอยู่ผนังด้านหลังของศาลเจ้า เขายื่นฝ่ามือทั้งสองออกไป ทาบลงบนผนังของศาลเจ้า
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงดัง “ปุ” ช่องว่างเกิดการกระเพื่อมขึ้นมา และตามมาด้วยการหายตัวไปของหลี่ชิเย่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...