ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อต่างก็เป็นผู้ที่มีจิตทระนงองอาจของความเป็นกษัตริย์ มีความมั่นใจในฐานะผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด พวกเขาไม่ใช่ประเภทที่ชอบแยกเขี้ยวกางเล็บ และไม่ใช่ประเภทที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้คน แต่คำพูดแต่ละคำที่พวกเขาพูดออกมาล้วนแล้วแต่เปี่ยมด้วยพลัง และทำตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสศรัทธา
ไม่ว่าจะเป็นด้านของจิตใจที่กว้างขวาง หรือราศี ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อล้วนแล้วแต่ยากจะหาข้อตำหนิได้ ทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจออกมา
“บุรุษเยี่ยงนี้ คิดจะไม่ลือลั่นไปทั่วหล้าก็คงยาก” ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของเผ่าใดๆ ก็ตาม ต่างก็ต้องพูดออกมาว่า “ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะบุคคล สมควรเป็นเยี่ยงนี้!”
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามีอารมณ์ เอาเถอะ ข้าเล่นเป็นเพื่อสักหน่อยก็แล้วกัน ดูว่าพวกเจ้าจะเล่นไปได้สักกี่เกม” กล่าวพลางก้าวเท้าเข้าไปยังศาลเจ้าทองคำ
ธิดาราชันฉีหลินไม่ได้ติดตามเข้าไปด้วย เกมพนันลักษณะเช่นนี้นางไม่ต้องการเข้าไปพัวพันด้วย เพราะหลี่ชิเย่อยู่ในฐานะเจ้าบ้าน
หลี่ชิเย่เดินเข้าไปยังศาลเจ้าทองคำโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร นั่งลงด้วยท่าทีที่ไม่เกรงใจใคร สำหรับท่าทีต่อบรรดาสมบัติวิเศษที่กองพเนินดั่งภูเขาภายในศาลเจ้าทองคำนั้น เหมือนมองไม่เห็น และมองเหมือนเป็นของไร้ค่า ไม่สามารถสั่นคลอนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขาได้แม้แต่น้อย
“พี่หลี่จะพนันแบบไหน?” หลังจากที่หลี่ชิเย่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว ฉินไป่หลี่ได้พูดขึ้นมาช้าๆ
หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าอย่างไรก็ได้ พวกเจ้าคิดจะพนันแบบไหนก็ตามข้าน้อมรับเต็มที่ พวกเจ้ามีแนวความคิดอย่างไรพูดออกมาได้เลย”
“วันนี้พวกเราจะทำการพิสูจน์ด้านจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่อาศัยกำลัง ใครสามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ ทนต่อสิ่งเย้ายวนใจได้ คนนั้นเป็นฝ่ายชนะ สหายหลี่คิดเห็นประการใด?” จินเก๋อพูดขึ้นมา
“ก็ดี ในเมื่อพวกเจ้ามีอารมณ์สุนทรีเช่นนี้ ข้าก็ไม่ทำให้ต้องผิดหวัง” หลี่ชิเย่มองดูจินเก๋อและฉินไป่หลี่ แล้วยิ้มกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าคิดว่าไม่สามารถยืนหยัดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ สามารถถอนตัวออกไปได้ทันที วันนี้ข้าไม่ต้องการชีวิตของพวกเจ้า! ให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง!”
เกมแข่งขันยังไม่ทันเริ่มต้น หลี่ชิเย่ก็มีคำพูดที่พาลเช่นนี้ออกมา ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำต้องมองหน้ากันและกัน ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวจินเก๋อและฉินไป่หลีพลันรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ขึ้นมาทันที
“ฮึ เกมพนันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นก็กล้าพูดจาอวดดีแล้ว ใครจะเป็นผู้แพ้ชนะยังไม่รู้เลย” ยอดฝีมือเผ่าสวรรค์รู้สึกไม่พอใจ ส่งเสียงเย็นชาออกมา
ตรงกันข้าม พวกจินเก๋อและฉินไป่หลี่ทั้งสองคนกลับไม่แสดงอาการโกรธ พวกเขาต้องจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ฉินไป่หลี่ยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอขอบคุณล่วงหน้าต่อพี่หลี่ที่ละเว้นชีวิตให้ หากข้าพ่ายแพ้ย่อมไม่มีอะไรจะพูด ได้แต่โทษจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรตนของข้าไม่แข็งแกร่งพอ”
“หากพ่ายแพ้ ข้าจินเก๋อก็ยอมแพ้ทั้งกายและใจ สรรพเคล็ดวิชาทั่วฟ้าดินบางทีอาจปราศจากผู้ต่อกร บางทีอาจลึกล้ำพิสดารยากหาผู้ใดเทียม แต่ทว่า มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร เท่านั้นที่รู้จริงที่สุด มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเท่านั้นที่สามารถมองเห็นที่สุดของสรรพเคล็ดวิชา” จินเก๋อยังกล่าวอีกว่า “สัจธรรมสามารถอาศัยเล่ห์เหลี่ยมได้ ความลึกซึ้งพิสดารสามารถอธิบายได้ มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจะต้องอาศัยฝึกฝนก้าวไปทีละก้าวๆ ! ถ้าหากพ่ายแพ้ด้านจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรให้กับสหายหลี่ ย่อมหมายความว่าสหายหลี่อยู่เหนือข้า!”
“ถูกต้อง ที่เจ้าขาดไปก็คือชะตาฟ้าเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ที่มองดูจินเก๋อและยิ้มกล่าวว่า “ในโลกนี้หากไม่มีใครลอบโจมตีเจ้า เจ้าก็ต้องได้เป็นจอมราชัน”
“หวังว่าจะเป็นไปตามที่สหายหลี่พูดมา ข้าพยายามต่อสู้เพื่อสิ่งนี้อยู่” จินเก๋อไม่ได้แสดงออกถึงความดีใจและหรือความโกรธ เปิดเผยตรงไปตรงมาและมีท่าทีอหังการ และไม่มีการถ่อมตน
ภาพลักษณะเช่นนี้อยู่เหนือความคาดคิดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่มีใครคาดคิดว่าภาพที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่าจินเก๋อจะต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งกับหลี่ชิเย่แน่นอน
เอากับเขาสิ เวลานี้หลี่ชิเย่กับจินเก๋อกลับคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าทั้งสองจะเป็นศัตรูกัน แต่กลับไม่ได้มีกลิ่นอายของความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย เหมือนว่าพวกเขาต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน!
“โลกของดาวรุ่งพวกเราไม่เข้าใจ” สุดท้าย มียอดฝีมือกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “หากเปลี่ยนเป็นข้าล่ะก็ คงลุยเข้าไปแลกชีวิตกับคนโหดอันดับหนึ่งนานแล้ว เพราะคนโหดอันดับหนึ่งไม่เพียงรังแกถึงบนศีรษะยังเป็นการดูถูกเผ่าสวรรค์ของพวกเรา”
“ทุกคนต่างเลือกของวิเศษมาสักชิ้นดีมั้ย?” ฉินไป่หลี่พูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ของวิเศษของใครดีที่สุด เป็นฝ่ายชนะ”
“ข้าไม่มีปัญหา” จินเก๋อกล่าวว่า “เฉกเช่นที่สหายหลี่ได้พูดเอาไว้ หากได้เห็นของวิเศษแล้ว ใครไม่สามารถยืนหยัดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนเอาไว้ได้ ก็ให้ไปจากในทันที ขอแค่ผลแพ้ชนะ ไม่ต้องการชีวิต!”
หลี่ชิเย่มองดูฉินไป่หลี่และจินเก๋อแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเจ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ข้ากลับสามารถเลือกของวิเศษแทนพวกเจ้าสักชิ้น แน่นอนที่สุด พวกเจ้าเลือกเอาเองก็ได้”
“ทำไมจะไม่ได้!” หลังจากจินเก๋อจ้องมองหลี่ชิเย่อยู่ครู่หนึ่ง ได้กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ภายในศาลเจ้าทองคำ สิ่งเดียวที่เห็นได้ก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร! พี่หลี่คือผู้ที่ปราดเปรื่องน่าทึ่ง คงไม่ถึงกับหลอกลวงพวกเรา”
“ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือมิตร ข้ากลับเชื่อว่าการมาพิสูจน์เพื่อยืนยันในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพี่หลี่ที่นี่จะกระทำกันอย่างสง่าผ่าเผย” ฉินไป่หลี่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าตัดสินใจแทนพี่จินเก๋อได้ ส่วนตัวข้าแล้วไม่ขัดข้อง ให้พี่หลี่เป็นผู้เลือกให้ข้าสักชิ้นจะเป็นเช่นใด?”
“ข้าเองก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น ก็ให้สหายหลี่เลือกแทนข้าสักชิ้นก็แล้วกัน” จินเก๋อเองก็มีลักษณะของความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทุกๆ ถ้อยคำล้วนแล้วแต่ทรงพลังยิ่งนัก
“มันคือหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบหนึ่ง ในยุคสมัยที่เนิ่นนานมาก เคยมีจอมเทพผู้หนึ่งสวมหมวกม่วงใบหนึ่ง อยู่เหนือหมื่นแดน ดำเนินสรรพสิ่งก้าวข้ามกาลเวลาอันยาวนาน หมวกม่วงแฝงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติตลอดกาล ทิ้งพลังม่วงลงมาหมื่นสาย หนึ่งสายนั้นหมายถึงหมื่นแดน อีกหนึ่งสายคือโลกธาตุ เมื่อท่องไปโดยสวมหมวกใบนี้เอาไว้ สามารถก้าวข้ามวันเวลา นิรันดร์กาลเป็นเพียงเรื่องเอ้อระเหยเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“เยี่ยม…” ฉินไป่หลี่ที่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วอดที่จะกล่าวชื่นชมออกมาไม่ได้ สัจธรรมที่เขาฝึกอยู่นั้นต้องการของวิเศษเช่นนี้อยู่พอดี
“เจ้าคิดดีแล้วยังที่จะไปหยิบของวิเศษชิ้นนี้?” หลี่ชิเย่มองดูฉินไป่หลี่ด้วยท่าทียิ้มแต้ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม มันต้องใจมากกว่าที่ข้าบรรยายเสียอีก เพียงพอที่จะทำให้เจ้าอยากได้ครอบครองมันยิ่งนัก”
ความจริงแล้ว ทุกคนต่างไม่เคยได้เห็นของวิเศษชิ้นนี้มาก่อน เมื่อได้ยินคำบรรยายของหลี่ชิเย่แล้ว ทำให้มีผู้ที่ต้องน้ำลายหกเป็นจำนวนมาก แทบอยากจะหยิบเอาของวิเศษชิ้นนี้มาชื่นชมเดี๋ยวนี้เลยให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
ฉินไป่หลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้าย เขาได้ควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรให้มั่น พยักหน้าด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจัง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ไว้ให้ข้าไปหยิบเอาของวิเศษชิ้นนี้มาให้พี่หลี่และพี่จินเก๋อได้ชื่นชม” กล่าวจบคำลุกขึ้นยืน
ฉินไป่หลี่เดินเข้าไปภายในห้องหลังนั้น ยกเอาเตาสามขาขึ้นมา และสามารถหยิบเอาหมวกวิเศษออกมาได้ใบหนึ่งจริงๆ ขณะที่หมวกวิเศษใบนี้ถูกหยิบขึ้นมานั้น พลันปรากฏพลังม่วงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นหลักสัจธรรมสูงสุดอย่างนั้น ท่ามกลางกลิ่นอายม่วงที่ตลบอบอวล ร่างกายของฉินไป่หลี่พลันถูกครอบคลุมด้วยกลิ่นอายม่วงทันที เหมือนว่ากลิ่นอายม่วงนี้ดูจะใกล้ชิดกับฉินไป่หลี่มากเป็นพิเศษ พลันห่อหุ้มตัวของฉินไป่หลี่เสียแน่นหนาเลยทีเดียว
ท่าทางของฉินไปหลี่ในเวลานี้ดูหนักแน่นจริงจัง และเคร่งขรึมยิ่งนักยากจะหาผู้ใดเทียม แต่ทว่า ท้ายที่สุดแล้ว เขายังคงสวมหมวกใบนี้ลงบนศีรษะ
จังหวะที่ฉินไป่หลี่ได้สวมหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ลงบนศีรษะ กลิ่นอายม่วงทั้งหมดพลันมีการเก็บงำ กลับกลายเป็นกลิ่นอายม่วงแต่ละสายที่ทิ้งตัวลงมาจากหมวกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นไปตามที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น หนึ่งสายกลับกลายหมื่นแดน หนึ่งสายคือโลกธาตุ เมื่อฉินไป่หลี่สวมมันเอาไว้นั้น ท่าทีของเขาพลันเปลี่ยนไป เขาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดองค์หนึ่ง สามารถรับรู้หมื่นวิชา สามารถก้าวข้ามกาลเวลา สามารถก้าวเดินอยู่ท่ามกลางอดีตถึงปัจจุบัน
“ของวิเศษชั้นเยี่ยมนะเนี่ย เมื่อสวมหมวกใบนี้แล้วสามารถทำให้เขาก้าวขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่งเลยนะ” ระดับบรรพบุรุษสายสำนักราชันเซียนผู้หนึ่งเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วถึงกับน้ำลายสอ
ในเวลานี้ทุกคนต่างมองไปที่ฉินไป่หลี่ อย่าว่าแต่ฉินไป่หลี่เลย ทุกคนที่มองเห็นต่างรู้สึกว่าของวิเศษชิ้นนี้ช่างเย้ายวนต่อจิตใจเหลือกิน ถ้าหากเวลานี้ฉินไป่หลี่ควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ไม่ได้ล่ะก็ มีเพียงตายสถานเดียว
ว่ากันตามจริง หากจะทำใจให้ไม่หวั่นไหวต่อหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ล่ะก็ นับว่ายากเหลือเกิน มันต้องอาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงเพียงใดจึงสามารถรักษาเอาไว้ได้ เมื่อต้องเผชิญกับหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้
ขณะที่ทุกคนได้กลั้นลมหายใจเอาไว้นั้น ฉินไป่หลี่ได้เดินไปถึงหน้าโต๊ะ สุดท้าย ได้บรรจงถอดหมวกใบนั้นออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ เพื่อให้หลี่ชิเย่และจินเก๋อได้ชื่นชม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...