“สหายหลี่อยู่เหนือพวกเราจริงๆ” จินเก๋อที่มองดูหลี่ชิเย่แล้วเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของสหายหลี่หาใช่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าอีกแล้ว แต่ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรสามารถเป็นไปตามอารมณ์ปรารถนา หนึ่งความคิดกลับกลายเป็นพระ หนึ่งความคิดกลับกลายเป็นมาร กลายเป็นพระก็ดี กลายเป็นมารก็ช่าง ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึก ทุกอย่างอยู่ในความคิดชั่วแวบเดียวของสหายเท่านั้น การที่สหายมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ชาตินี้ใยต้องเกรงว่าจะไม่ได้เป็นเซียนหวัง”
“การปรากฏตัวของสหาย ต้องได้ครอบครองชะตาฟ้าสิบสองสายอย่างแน่นอน เสียดายที่ข้าได้พลาดชะตาฟ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง มิฉะนั้นล่ะก็ ข้ากลับยินดีพบกับสหายบนจุดสูงสุด เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใดเหนือกว่ากัน!” เมื่อจินเก๋อเอ่ยถึงตรงนี้แล้วรู้สึกเสียใจยิ่งนัก
จินเก๋อมีสายตาที่โดดเด่นไม่เหมือนคนอื่น เขามั่นใจในตัวของหลี่ชิเย่อย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันก็มีความอหังการอยู่เต็มเปี่ยม ต่อใหรู้แล้วว่าสู้หลี่ชิเย่ไม่ได้ ยังคงมีจิตคิดจะเอาชนะไม่ได้กลัวหัวหด หรือหวาดกลัวแต่น้อยนิด นี่แหละคือศักยภาพที่พึงมีของผู้ที่จะเป็นจอมราชัน!
คำพูดของจินเก๋อสร้างความสะเทือนหวั่นไหวในใจให้กับผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ ในชิงโจว จินเก๋อมีชื่อเสียงที่โด่งดังมาก ถูกยกย่องว่าเป็นดาวรุ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุรุษผู้สามารถเป็นจอมราชันได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์หรือด้านทักษะยุทธ ในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่มีใครเทียม
เวลานี้ จินเก๋อถึงกับกล้าพูดออกมาว่า คนโหดอันดับหนึ่งหลี่ชิเย่มีคุณสมบัติเป็นเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าถึงสิบสองสาย เป็นการยอมรับในฐานะของหลี่ชิเย่อย่างไร้ข้อกังขาแล้ว
ในเมื่อจินเก๋อพูดออกมาเช่นนี้แล้ว จะไม่ให้สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของบรรดาผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้อย่างไร เซียนหวังที่ครอบครองชะตาฟ้าสิบสองสายนะเนี่ย ช่างเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนหวั่นไหวเพียงใด ในโลกนี้ ร้อยชาติพันธุ์มีเซียนหวังเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย นั่นก็คือเซียนหวังอิเย่!
ถ้าหากจะกล่าวว่าชาตินี้คนโหดอันดับหนึ่งหลี่ชิเย่ต้องได้เป็นเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าในครอบครอง เช่นนั้นแล้ว จะเป็นการแปรเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ร้อยชาติพันธุ์มีเซียนหวังที่ครอบครองชะตาฟ้าสิบสองสายสององค์ มันจะกลายเป็นเรื่องที่สะเทือนหวั่นไหวเช่นใด
“คนโหดอันดับหนึ่งจะได้เป็นเซียนหวังองค์แรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ได้ครอบครองชะตาฟ้าสิบสองสายจริงหรือ?” บรรดาผู้บำเพ็ญตนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับเลือดในกายเดือดพล่าน เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้
แม้จะกล่าวว่าเซียนหวังอิเย่คือเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายในครอบครอง แต่ทว่า เซียนหวังอิเย่เป็นผู้ที่มีสายเลือดของเผ่าวิญญาณเทพกับเผ่ามนุษย์อยู่ในกาย ไม่ถือว่าเป็นเซียนหวังเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยแท้จริง ความจริงแล้วมีข่าวลือเล่ากันว่า สายเลือดเผ่าพันธุ์มนุษย์ในกายของเซียนหวังอิเย่นั้นเจือจางมาก สายเลือดหลักของเขาคือเผ่าวิญญาณเทพ ดังนั้น หากจะว่ากันโดยเข้มงวดจริงๆ แล้ว เซียนหวังอิเย่ไม่นับเป็นเซียนหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพียงแต่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนไม่น้อยที่แอบอ้างเพื่อให้ตนดูดีเท่านั้น
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเรียบๆ ไม่ได้พูดอะไรมากสำหรับคำพูดของจินเก๋อ
“เกมนี้พี่หลี่เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด ข้ารู้สึกว่าในด้านของประสบการณ์และจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้น ข้าไม่มีหวังที่จะเอาชนะพี่หลี่ได้แล้ว พี่จินเก๋อคิดว่ายังจะต้องแข่งต่อไปอีกหรือไม่หละ?” ฉินไป่หลี่ส่ายหัวและยิ้มกล่าวว่า “ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ ข้ายอมแพ้เสียแต่ตอนนี้ดีกว่า”
ก่อนหน้านั้น ฉินไป่หลี่พนันแข่งกับจินเก๋อ พวกเขาสองคนเรียกได้ว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ต่างฝ่ายต่างชนะสามแพ้สาม ช่วงห่างระหว่างพวกเขาต่างกันไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นด้านของประสบการณ์หรือด้านของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร พวกเขาต่างกันเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นเอง
ด้านทักษะยุทธใครเหนือกว่าใครคงพูดยาก แต่ว่า ด้วยพื้นฐาน ชาติกำเนิด ประสบการณ์ต่างๆ ของทั้งสองคนเรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับ มิน่าเล่าพวกเขาถึงได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
เวลานี้ เมื่อต้องมาพบกับหลี่ชิเย่ พวกเขาถูกหลี่ชิเย่บดขยี้ตั้งแต่เริ่มเปิดเกม ไม่ว่าจะเป็นด้านของประสบการณ์หรือด้านของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ล้วนแล้วแต่ถูกหลี่ชิเย่บดขยี้จะแหลก ต่อให้ด้านทักษะยุทธจะมีความได้เปรียบต่อหลี่ชิเย่ แต่เมื่อต้องมาอยู่ในศาลเจ้าทองคำแล้ว พวกเขาไม่มีความหวังที่จะเอาชนะหลี่ชิเย่ได้อยู่แล้ว มันไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้อีกแล้ว
ดังนั้น ในเวลานี้ ฉินไป่หลี่จึงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมา กล่าวสำหรับเขาแล้วสิ่งนี้หาใช่เป็นเรื่องที่น่าอับอาย เกมนี้เขายอมรับความพ่ายแพ้ทั้งกายและใจ
“สหายหลีถึงขั้นหนึ่งความนึกคิดเป็นพระแล้ว การที่จะพนันกับสหายหลี่ในศาลเจ้าทองคำต่อไปนั่นคือการไม่รู้จักเจียมตน” จินเก๋อได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ภายในศาลเจ้าทองคำ เป็นสหายหลี่ที่บดขยี้ข้า ข้าก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องแข่งอีกต่อไป ข้าเองก็ยอมรับความพ่ายแพ้ทั้งกายและใจ”
ทั้งจินเก๋อและฉินไป่หลี่ต่างยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คนทั่วหล้า ท่วงท่าที่บริสุทธิ์สง่าผ่าเผยเช่นนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างเลื่อมใส แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ และกลับพ่ายแพ้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทำให้ผู้คนต้องเคารพเลื่อมใส
“เอาเถอะ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “นับว่าไม่ง่ายนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน”
ความจริงแล้วกระทั่งถึงเวลานี้ หลี่ชิเย่ยังคงชื่นชมต่อฉินไป่หลี่และจินเก๋ออยู่ ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยที่สุดการเป็นศัตรูกับคนประเภทนี้นับเป็นการเสพสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“น่าเสียดายกับของวิเศษเหล่านี้แล้วหละ ได้แต่ปล่อยให้เสียหายตามอารมณ์อยู่ตรงนี้แล้ว” ฉินไป่หลี่มองดูหมวกศักดิ์สิทธิ์ และถุงมือราชันที่อยู่บนโต๊ะ ถึงกับกล่าวทอดถอนใจออกมา
เวลานี้ ฉินไป่หลี่ได้นำหมวกศักดิ์สิทธิ์วางกลับที่เดิม ขณะที่จินเก๋อก็ได้นำถุงมือราชันวางกลับเข้าที่เช่นกัน
ความจริงแล้วใช่มีเพียงพวกเขาที่รู้สึกเสียดาย ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำต่างน้ำลายไหลยืด ถ้าหากของวิเศษเช่นนี้สามารถนำออกมาได้ล่ะก็ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเหลือเกิน รับรองได้ว่าสามารถทำให้ผู้คนทั่วหล้าต้องคลั่งไคร้ เกรงว่าจะต้องถูกขนเอาไปจนเกลี้ยงศาลเจ้าทองคำเป็นแน่แท้
น่าเสียดาย ไม่เคยมีใครสามารถนำเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกจากศาลเจ้าทองคำไปได้
“ของวิเศษเช่นนี้ยังไม่จัดว่าเป็นการปล่อยให้เสียหายไปตามอำเภอใจ” สำหรับคำพูดเช่นนี้ของฉินไป่หลี่ หลี่ชิเย่เพียงยิ้มและกล่าวท่าทีเมินเฉย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...