ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1903

“อยากจะเห็นก็ไม่ยาก” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เอามาให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน”

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกมีกำลังขึ้นมา ทุกคนต้องจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยดวงตาทั้งสองที่เป็นประกาย ภายในใจของฉินไป่หลี่และจินเก๋อก็หวั่นไหวเช่นกัน พวกเขาก็ต้องการเห็นไม้บรรทัดวัดสวรรค์เช่นกัน

“เช่นนั้นต้องรบกวนพี่หลี่แล้วหละ” ฉินไป่หลี่ออกจะดีใจอยู่ไม่น้อย แสดงคารวะแบบจีน และกล่าวว่า “ต้องขอพี่หลี่ได้ให้พวกเราเปิดหูเปิดตา ถือว่าไม่เสียเที่ยวกับการมาในครั้งนี้”

หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและพนมมือทั้งสอง เปล่งพุทธวาจาออกมา “อามิตาพุทธ…” ขาดคำ รัศมีพุทธพุ่งสู่ท้องฟ้าอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเขาได้กลับกลายเป็นอริยสงฆ์รูปหนึ่ง

หนึ่งความนึกคิดเป็นพระเมื่อจินเก๋อมองเห็นลักษณะของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ เขาเข้าใจแล้วว่า ในด้านจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเขาไม่สามารถไล่ทันหลี่ชิเย่ได้อีกต่อไป ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือตัดสินชี้ขาดด้านทักษะยุทธกับหลี่ชิเย่แล้ว

ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขณะมองดูหลี่ชิเย่ที่กลับกลายเป็นอริยสงฆ์ไปแล้ว คิดจะเป็นพระก็เป็นพระเลย ด้วยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ออกจะฝืนลิขิตสวรรค์มากไปแล้วกระมัง ในโลกนี้จะมีใครสักกี่คนสามารถทำได้เช่นนี้ หรือบางทีราชันเซิ่นตี้ที่ได้ชื่อว่ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งมากที่สุดอาจสามารถทำเช่นนี้ได้กระมัง

เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้เดินไปถึงกึ่งกลางของศาลเจ้าทองคำ ยกเท้ากระทืบลงไป ได้ยินเสียงดัง “คร๊ากก คร๊ากก คร๊ากก” ดังขึ้น เหมือนว่าพื้นดินกำลังแตกร้าวขึ้นอย่างนั้น ความจริงแล้วหาใช่พื้นดินแตกร้าว แต่เป็นเพราะใต้ฝ่าเท้าของหลี่ชิเย่ได้กลับกลายเป็นพระธรรมแต่ละบท และพระธรรมแต่ละบทกลายเป็นบทคัมภีร์ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปูจนเต็มพื้นที่ของศาลเจ้าทองคำ เหมือนหนึ่งศาลเจ้าทองคำถูกสลักเอาไว้ด้วยบทคัมภีร์แต่ละบทเอาไว้อย่างนั้น

“ตูม ตูม ตูม” นาทีนี้ พื้นดินเกิดการสั่นไหวขึ้นทีหนึ่ง บริเวณกึ่งกลางของศาลเจ้าทองคำได้แยกออกอย่างช้าๆ ปรากฏแท่นบูชาตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ

บนแท่นบูชามีสิ่งของสิ่งหนึ่งวางอยู่บนนั้น มันคือเป็นไม้บรรทัดโบราณอันหนึ่ง ไม้บรรทัดโบราณอันนี้ปรากฎเป็นแหล่งรวมรัศมีของดวงดาว คล้ายได้รวบรวมจิตวิญญาณทุกยุคสมัยเอาไว้ รัศมีทุกๆ สายเปรียบประดุจเป็นแต่ละยุคสมัยอย่างนั้น ไม้บรรทัดโบราณอันนี้แม้ว่ารัศมีจะไม่ได้ละลานตาเป็นพิเศษ แต่ไม่ว่าใครก็ตามหากได้เห็นไม้บรรทัดโบราณอันนี้แล้วต้องรู้สึกสั่นเทาภายในใจทีหนึ่ง

เนื่องจากไม้บรรทัดโบราณนี้สืบทอดทุกยุคทุกสมัยเอาไว้ มันสามารถวัดและคำนวณถึงยุคสมัยแล่ละยุค สามารถวัดและคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์ โลกธาตุ กฎสวรรค์ นิรันดร์กาล…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่สามารถนำมาชั่งน้ำหนักและพิจารณาดู

“ไม้บรรทัดวัดสวรรค์…” ทั้งจินเก๋อและฉินไป่หลี่แทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ขณะมองดูไม้บรรทัดอันนี้ ของวิเศษลักษณะเช่นนี้หากจะบอกว่าไม่ทำให้จิตใจต้องหวั่นไหวล่ะก็ เป็นการโกหกอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขารู้ว่าไม้บรรทัดวัดสวรรค์อันนี้บ่งบอกถึงสิ่งใด!

“สุดยอดไม้บรรทัด…” หลี่ชิเย่หยิบไม้บรรทัดวัดสวรรค์อันนี้ขึ้นมาและชั่งน้ำหนักของมันกับมือ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “มีการเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ แต่ขนาดไม่เปลี่ยน สรรพสิ่งในโลกทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีขนาดของมัน!”

“ไม่เพียงไม้บรรทัดวัดสวรรค์ที่สร้างความตื่นตระหนกต่อโลก” จินเก๋อรู้สึกจนด้วยเกล้า เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สหายหลี่เองก็เป็นผู้ที่สร้างความตื่นตระหนกต่อโลก อาศัยวิธีการของตนเข้าถึงทุกสรรพสิ่ง ถึงกับเข้าถึงพระธรรมของพุทธได้ กล่าวสำหรับสหายหลี่แล้ว ในโลกนี้ไม่มีเคล็ดวิชาที่ไม่สามารถฝึกฝนได้อีกแล้ว”

ไม่เสียทีที่จินเก๋อคือผู้ที่สามารถเป็นจอมราชันได้ แค่มองแวบเดียวก็เข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดารได้ หลี่ชิเย่ไม่เพียงแค่ความคิดแวบเดียวเป็นพระเท่านั้น นี่มันหาใช่แค่กลับกลายเป็นพระเป็นการชั่วคราวเท่านั้น การเป็นพระของหลี่ชิเย่สามารถเข้าถึงพระธรรม และลึกซึ้งในด้านของพุทธศาสนา

“จิ๊บๆ เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “คนที่เคยพิจารณาพินิจพิเคราะห์ศาลเจ้าทองคำมีมากมาย จอมราชันเซียนหวังที่เคยพิจารณาพินิจพิเคราะห์มีจำนวนเท่าไร ตาเฒ่าจ้านหวังของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังพวกเจ้าก็เคยเปิดแท่นบูชานี้มาแล้วมิใช่รึ เสียดายที่เขาไม่ต้องการแปดเปื้อนกฎแห่งกรรม ดังนั้น หลังจากหยิบมันขึ้นมาแล้วก็วางกลับไปตามเดิมอีก”

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้จิตใจของผู้คนจำนวนมากต้องหวั่นไหว ที่แท้ราชันสวรรค์จ้านหวังก็เคยหยิบเอาไม้บรรทัดวัดสวรรค์อันนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่ได้นำติดตัวไปด้วยเท่านั้นเอง

ทุกคนต่างก็เข้าใจ เฉกเช่นเซียนหวังระดับสูงยังคงมีโอกาสนำเอาของวิเศษจากศาลเจ้าทองคำไปได้ เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องการแปดเปื้อนกฎแห่งกรรมเท่านั้นเอง จะอย่างไรเสีย เมื่อใดที่จอมราชันเซียนหวังแปดเปื้อนกฎแห่งกรรมนี้เข้า ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะนำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์ได้ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว แม้ว่าไม้บรรทัดวัดสวรรค์จะทำให้พวกเขาต้องหวั่นไหว แต่ สวรรค์ลงทัณฑ์น่ากลัวยิ่งกว่า

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่มองดูไม้บรรทัดวัดสวรรค์ที่อยู่ในมือ แล้วมองไปยังแดนนิพพานที่อยู่อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำเหิงเหอที่ไกลออกไป สุดท้าย สายตาได้ตกลงที่อริยสงฆ์แต่ละรูปที่อยู่ในศาลเจ้าทองคำ

“ไม้บรรทัดนี้มีวาสนากับข้า คราวนี้ได้เวลาที่ข้าจะนำมันไปด้วยแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ

เสียง “แว้งค์” ดังขึ้น ทันใดนั้นเอง รัศมีพุทธแต่ละสายบนตัวได้หลุดร่วงลงมา เหมือนหนึ่งเป็นนกตัวหนึ่งที่สลัดขนของตนออกอย่างนั้น

รัศมีพุทธที่หลุดร่วงลงมาได้ทยอยกันตกสู่พื้นดิน จากนั้นซึมหายเข้าไปใต้ดิน แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

นาทีนี้ หลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินออกมาจากรัศมีพุทธ ขณะที่รัศมีพุทธยังคงทยอยกันร่วงหล่นลงมาที่ตรงนั้น เสมือนหนึ่งหลี่ชิเย่ได้ถอดเสื้อออกมาและทิ้งเอาไว้ตรงนั้นอย่างนั้น โดยที่เสื้อแต่ละส่วนยังทยอยกันร่วงหล่นลงมา ขณะที่หลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินออกมาแล้ว

จินเก๋อเองก็เข้าใจ หากอาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเขาพ่ายแพ้ให้กับหลี่ชิเย่แน่ สิ่งที่เขาสามารถอาศัยพึ่งพาได้กับการต่อสู้กันในอนาคตคือสัจธรรมที่ปราศจากผู้ต่อกรและอาวุธที่มีอานุภาพสูงสุด!

“ทำไมจะไม่ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “วันหน้าเจ้าคิดจะต่อสู้ข้าน้อมรับก็แล้วกัน แค้นต้องชำระนับเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์”

“ต่อให้ไม่มีความแค้นต่อกัน ข้าก็ต้องการต่อสู้กับสหายหลี่สักครั้ง” จินเก๋อหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า “ขณะที่ข้าอายุยังน้อยเคยปะมือกับเต้าหลง เคยสู้กับเหรินเซิ่น แต่มาวันนี้ดูไปแล้วยังคงเป็นสหายหลี่ที่ทำให้เลือดในกายของข้าเดือดพล่านได้มากที่สุด”

“เต้าหลง” ที่จินเก๋อเอ่ยถึงก็คือราชันสวรรค์เต้าหลง ครั้งนั้น หากไม่เป็นเพราะจินเก๋อถูกเหรินเซิ่นลอบโจมตี ไม่แน่นักผู้ที่จะได้เป็นจอมราชันเซียนหวังในยุคนี้ได้ก่อนอาจไม่ใช่ราชันสวรรค์เต้าหลงแต่เป็นจินเก๋อ น่าเสียดายที่เวลาไม่คอยท่า

“ข้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้ต่อสู้กับสหายหลี่” สุดท้าย จินเก๋อหัวเราะเสียงดังและพกพาเอาปณิธานการต่อสู่ที่สูงเด่นจากไป

มองเห็นฉินไป่หลี่และจินเก๋อที่ทยอยกันจากไป ผู้คนจำนวนมากต่างทอดถอนใจด้วยความสะเทือนใจ ไม่ว่าจะเป็นจินเก๋อหรือฉินไป่หลี่ก็ตาม สามารถเป็นศัตรูกับดาวรุ่งเช่นนี้นับว่าเป็นความสุขในชีวิตอย่างหนึ่ง โดยไม่ต้องกังวลว่าศัตรูอย่างพวกเขาจะลอบทำร้าย

“พวกเรากลับไปในเรือเถอะ” หลังจากที่จินเก๋อและฉินไป่หลี่พากันจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบๆ และกล่าวกับธิดาราชันฉีหลิน

ผู้คนจำนวนมากต่างหลีกเป็นทางขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นหลี่ชิเย่กำลังจะไปจาก แม้ว่าภายในใจของทุกคนจากกลืนน้ำลายกันเอือกๆ ทุกคนต่างอยากได้ไม้บรรทัดวัดสวรรค์ในมือของหลี่ชิเย่กันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครกล้าลงมือ ผู้ที่มีสิทธิ์เป็นศัตรูกับจินเก๋อและฉินไป่หลี่ได้นั้น หาใช่ผู้ที่พวกเขาจะไปท้าทายได้

“ตูม ตูม ตูม…” จังหวะที่หลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลินกำลังจะจากไป พลันปรากฎเสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นกองกำลังอาชากลุ่มหนึ่งที่วิ่งฮ้อเข้ามา

“อัศวินมังกรหลวงน้อย เป็นพวกทารกมังกรหลวง” มีผู้ที่ร้องเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นกองกำลังอาชาที่วิ่งฮ้อเข้ามา บางคนถึงกับตกในจนรีบหลบไปอยู่ด้านข้าง

ทุกคนพลันจ้องมองไปยังอัศวินมังกรหลวงน้อยที่วิ่งฮ้อเข้ามา ผู้คนจำนวนไม่น้อยยังเข้าใจว่าอัศวินมังกรหลวงน้อยมาเพื่อแย่งชิงไม้บรรทัดวัดสวรรค์ของหลี่ชิเย่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล