ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1915

เรือนิรันดรค่อยๆ แล่นเข้าไปจอดในอ่าวที่เป็นท่าเรืออย่างช้าๆ มันเป็นหน้าผาที่มีขนาดใหญ่ยากจะหาใดเทียม เรือนิรันดรนับว่าใหญ่พอแล้วสินะ แต่ทว่า หน้าผาแห่งนี้ใหญ่ยิ่งกว่าเสียอีกเสมือนหนึ่งเป็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์ขนาดล้านล้านลี้ที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ทำการกั้นขวางท้องฟ้าแห่งนี้เอาไว้ เหมือนว่าไม่มีใครสามารถก้าวข้ามไปได้อย่างนั้น

อ่าวที่เป็นท่าเรือแห่งนี้ก็คือปากทางเข้าสู่ไกลกันดาร ขณะเดียวกันมันคือสถานที่ที่ห่างจากไกลกันดารใกล้และปลอดภัยมากที่สุด เนื่องเพราะมีหน้าผาที่ทอดผ่านท้องฟ้ากั้นขวางที่ตรงนี้เอาไว้ มันสามารถขวางแรงปะทะทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังนั้นเรือทุกลำที่มายังไกลกันดารก็จะแวะจอดอยู่ที่ตรงนี้

ในเวลานี้ มีผู้คนจำนวนมากยืนบนดาดฟ้าและจ้องมองไปยังไกลกันดารที่อยู่ในระยะห่างไกล มองเห็นไกลกันดารที่มืดมัวอยู่ท่ามกลาง ความสลัวของอากาศ เสมือนหนึ่งเป็นสัตว์ขนาดยักษ์ยากจะหาใดเทียมนั่งยองๆ อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าแห่งนี้ มันทอดข้ามทั่วท้องฟ้าแห่งนี้ ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต

แม้ว่าการมองดูไกลกันดารจากระยะห่างไกลจะไม่สามารถมองเห็นภาพของมันได้ทั้งหมด แต่ทว่า แค่มองเห็นเพียงเสี้ยวเดียวก็เพียงพอที่จะสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนแล้ว

สามารถมองเห็นภูเขาแต่ละลูกที่ยอดเขาทะลุถึงจักรวาล ยอดเขาทุกลูกมีขนาดใหญ่โตไร้ขอบเขต ยอดเขาทุกๆ ลุกล้วนแล้วแต่ มีทางช้างเผือกล้อมรอบ ยอดเขาทุกลูกล้วนแล้วแต่ทะลุไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของทางช้างเผือก แลดูอลังการและเป็นที่หวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนยิ่งนัก

แต่ว่า ยอดเขาแต่ละลูกมีจำนวนมากที่ถูกทำลาย บ้างถูกผ่าออกเป็นสองซีก บ้างถูกตัดขาดจากกันเป็นสองท่อน และบางลูกถูกถอนขึ้นมาทั้งลูกลอยเท้งเต้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล นอกเหนือจากนั้นยังมีเศษหิน เศษดินนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่ท่ามกลางจักรวาล เป็นที่หวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนยิ่งนัก

บนท้องฟ้าของไกลกันดาร มีดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงที่ลอยอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงเท่านั้น เมื่อมองดูให้ละเอียด ปรากฎเป็นทางช้างเผือกแต่ละสายที่ถูกดึงเข้ามาอยู่บนท้องฟ้า

แต่ทว่า ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวง หรือว่าทางช้างเผือกแต่ละสายก็ตาม ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกทำให้แตกละเอียด ดวงดาวขนาดใหญ่บางดวงถูกยิงจนทะลุ เหมือนว่าเกิดจากนิ้วๆ หนึ่งที่จิ้มเข้ามา ทำให้พวกมันทะลุ บ้างถูกเหยียบจนแหลกลาญ ดุจดั่งมีมนุษย์ยักษ์เดินผ่าน แล้วเหยียบจนทางช้างเผือกแต่ละสายต้องแตกละเอียดไป และมีดวงดาวขนาดใหญ่ที่แตกไม่มีชิ้นดี เสมือนหนึ่งเกิดจากการโจมตีจนทางช้างเผือกแตกละเอียดไป…

แต่ละภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คน ไม่ว่าใครที่มองเห็นต้องรู้สึกใจหายใจคว่ำ กล่าวได้ว่าไกลกันดารช่างอลังการเหลือเกิน ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อได้มองเห็นภาพของไกลกันดารภาพนี้แล้ว ต่อให้ไม่ได้เหยียบย่ำเข้าไปยังไกลกันดารก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

“ไกลกันดาร!” ผู้คนจำนวนเท่าไรขณะที่จ้องมองไกลกันดารนั้น ถึงกับถูกภาพแต่ละภาพของไกลกันดารทำให้ต้องหวั่นไหวกันเล่า

ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากหลังจากจ้องมองไกลกันดารจากระยะห่างไกลแล้ว ถึงกับต้องมองสบตากันและกัน นาทีนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เกิดความลังเลขึ้นมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่พกพาปณิธานยิ่งใหญ่มาด้วยจากการที่เพิ่งจะได้มาที่ไกลกันดารเป็นครั้งแรก กระทั่งลั่นวาจาที่ฮึกเหิมว่า จะต้องได้รับโชควาสนาใหญ่จากไกลกันดารจึงยอมกลับ

แต่ว่า ครั้นได้มองเห็นภาพที่อลังการของไกลกันดารด้วยสายตาของตนเองแล้ว ผู้คนจำนวนมากพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นภายในใจ พลันสูญสิ้นความมั่นใจไปทันที พลังที่สามารถทำลายโลกนี้จนแตกละเอียดได้นั้น ช่างเป็นพลังที่น่าสยดสยองเพียงใด

ผู้คนจำนวนเท่าไรก่อนเดินทางมาที่ไกลกันดารต่างได้ยินคำเล่าลือกันมาต่างๆ นานา ต่างเคยได้ยินมาว่า ไกลกันดารเป็นสถานที่ที่โหดร้ายมาก บางครั้งกระทั่งจอมราชันเซียนหวังก็ยากจะมีชีวิตรอดกลับมา แต่ จะอย่างไรเสียมันก็แค่คำเล่าลือไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ไม่มีพลังที่ส่งผลกระทบเช่นนั้น มาวันนี้พวกเขามาถึงไกลกันดารจนได้ และได้มองเห็นภาพที่อลังการด้วยสายตาของตนเอง สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของพวกเขาในที่สุด ทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นภายในใจ และสูญเสียความมั่นใจไป

ดังนั้น ผู้เยาว์ที่หลังจากได้มองเห็นสภาพของไกลกันดารด้วยสายตาของตนเองแล้ว ถึงกับเอ่ยถามเสียงแผ่วเบากับผู้อาวุโสของตนที่อยู่ข้างกาย “จะขึ้นไปมั้ย?”

ผู้อาวุโสถึงกับนิ่งเงียบกับคำถามของผู้เยาว์ ไม่สามารถตัดสินใจได้ในขณะนี้

“เอี๊ยด…” ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้เปิดประตู และเดินออกมาจากด้านใน

“คุณชาย…” ธิดาราชันฉีหลินรีบเร่งเดินเข้าไปหา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่พยักหน้า มองดูพวกเขา ในเวลานี้อู่ฟ่งหยิ่งก็เผยรอยยิ้มออกมา แม้ว่าอู่ฟ่งหยิ่งในวันนี้ยังคงสวมชุดเกราะ แต่ มีความแตกต่างเมื่อเทียบกับยามปรกติก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่านางมีการแต่งองค์อย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ นางได้ไว้ทรงผมที่เหมาะสมรับกับชุดเกราะของนางอย่างที่สุด ทำให้ภาพรวมของนางแลดูอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย อีกทั้งภายใต้การสอดรับของชุดเกราะทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ลักษณะเช่นนี้ของนางไม่เพียงมีบุคลิกลักษณะห้าวหาญองอาจ ทั้งยังมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำอยู่สามส่วน ท่าทางของนางดูไปแล้วเรียกว่าสวยหยาดเยิ้ม ยามที่นางเผยรอยยิ้มออกมา ทำให้ผู้คนมีจิตใจที่เคลิบเคลิ้มหลงใหล

“ฮิ ฮิ ฮิ พี่ใหญ่ พวกเราเข้าไปในไกลกันดารกันมั้ย?” หลังจากที่อู่ชีมองเห็นหลี่ชิเย่แล้วจึงยิ้มแต้และพูดขึ้น

หลี่ชิเย่เหลือบมองเขาแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เวลานี้เขายืนอยู่บนยอดเขามองไปที่ไกลกันดารจากระยะห่างไกล

สถานที่ที่พวกหลี่ชิเย่อาศัยอยู่นั้นคือจุดที่สูงที่สุดทั่วทั้งลำเรือนิรันดรลำนี้ ดังนั้น การยืนมองไประยะห่างไกลจากจุดนี้จึงสามารถมองเห็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปได้อย่างชัดเจน

ในขณะนี้ แม้ว่าเรือนิรันดรได้จอดทอดสมออยู่ข้างหน้าผาและทิ้งบันไดลงไปแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถลงจากเรือเพื่อขึ้นฝั่งได้ แต่ยังไม่มีผู้ใดขึ้นฝั่งเป็นการชั่วคราวในเวลานี้ ผู้โดยสารจำนวนมากหากไม่เป็นเพราะกำลังลังเลก็คือกำลังเตรียมการขึ้นฝั่งเป็นครั้งสุดท้าย จะอย่างไรเสีย ไกลกันดารเต็มไปด้วยอันตรายยิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าขึ้นฝั่งโดยง่ายดาย หากไม่ทันระวังอาจยากจะมีชีวิตรอดกลับมาก็เป็นได้

ในขณะที่ยังไม่มีผู้ใดขึ้นฝั่งนั่นเอง ทันใดนั้น ปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาเตรียมพร้อมลงจากเรือเพื่อขึ้นฝั่งไปยังไกลกันดาร

กลุ่มคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มคนขบวนแรกที่ต้องการขึ้นฝั่งไกลกันดาร จึงเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก สิ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากสนใจไม่เพียงเพราะเป็นกลุ่มคนที่ขึ้นฝั่งไกลกันดารเป็นกลุ่มแรก ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ กลุ่มคนกลุ่มนี้ได้เผยกลิ่นอายที่ลึกลับออกมา จึงเป็นที่จับจ้องของผู้คนมากเป็นพิเศษ!

“เผ่ารอยโลหิตคืออะไร?” แม้แต่อู่ฟ่งหยิ่งถึงกับเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ แม้ว่านางที่มีประสบการณ์มากมายในฐานะเจ้าเมืองเมืองหลงเฉิน แต่ไม่เคยได้ยินเผ่ารอยโลหิตมาก่อน

“เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งในตำนาน เผ่าพันธุ์ที่น่าสยดสยองยิ่งนัก” ซึหุนหลินจ้องมองดูกลุ่มคนกลุ่มนี้กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ลือกันว่าพวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมทารุณมาก กระทั่งมีเพียงตายสถานเดียวสำหรับสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามที่เข้าไปใกล้รังของพวกเขา ดังนั้น จึงลือกันว่า บริเวณที่ตั้งรังของพวกเขาคือพื้นที่แห่งความตายที่น่าสยดสยองมากที่สุด…”

“…ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เคยพบเห็นเผ่าพันธุ์นี้มาก่อน เนื่องจากพวกเขาไม่เคยสมาคมกับบุคคลภายนอก และไม่คบหากับเผ่าพันธุ์ใดๆ หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่หลงเหลือและอยู่เป็นเอกเทศ มีความลึกลับ และประหลาดยิ่งนัก แต่ก็มีคนพูดว่า พวกเขามาพร้อมกับความอัปมงคล ขอเพียงพวกเขาปรากฏตัวออกมาก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรทั้งนั้น” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แล้ว ท่าทีของเขาดูหนักแน่นจริงจัง

“ทำไม่ถึงต้องอัปมงคล? หรือว่าพวกเขาสามารถแพร่เชื้อระบาดอย่างรุนแรงอย่างนั้นรึ?” อู่ชีรู้สึกเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อกลุ่มคนกลุ่มนี้ยิ่งนัก

“เนื่องจากพวกเขากินคน” ขณะที่อู่ชีกำลังรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ หลี่ชิเย่ได้กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “อีกทั้งเป็นการกัดกินอย่างเป็นๆ ไม่มีการคายแม้กระทั่งกระดูก”

“พูดเล่นพูดจริง?” อู่ชีตะลึงนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “โลกนี้มีคนโหดมากมาย ในสิบสามทวีปก็เคยมียอดฝีมือที่โหดเหี้ยมทารุณกินคนมาก่อน เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกกระมัง”

โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลมีเรื่องแปลกมากมาย และเป็นความจริงที่เคยมีผู้บำเพ็ญตนที่โหดเหี้ยมทารุณเคยกินคน ทั้งยังมีจำนวนไม่น้อย เรื่องเช่นนี้ไม่นับว่าต้องไปตื่นเต้นอะไรมากมาย

“เพราะว่าพวกเขากินแต่คนอย่างเดียว” หลี่ชิเย่มองดูอู่ชีด้วยท่าทีเฉยเมย และกล่าวว่า “หากพวกเขาคิดจะให้มีการถือกำเนิดทายาท จะต้องกินฝ่ายตรงข้ามเสีย มีเพียงกินคนอีกคนหนึ่งเสียพวกเขาจึงสามารถให้กำเนิดทายาทรุ่นหลังได้ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องสูญพันธุ์”

“กินผู้หญิงหรือผู้ชายคนใดคนหนึ่ง?” อู่ชีถึงกับตกใจยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้

“พวกเขาไม่แยกเป็นผู้ชาย เป็นเพียงสัตว์ประหลาดฝูงหนึ่งเท่านั้น หรือจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตฝูงหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “พวกเขาไม่นับเป็นพวกที่อยู่ในโลกใบนี้ ดังนั้น พวกเขาจึงคิดพยายามแพร่ขยายพันธุ์เต็มที่ แต่ทำไม่สำเร็จ พวกเขาทำได้เพียงกินพวกเดียวกันเองคนหนึ่งแล้วจึงสามารถให้กำเนิดทายาทรุ่นหลัง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทายาทรุ่นหลังของพวกเขาจึงลดน้อยลงทุกที…”

“…พวกเขาเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่บ้าคลั่งยิ่งนัก เคยจับยอดฝีมือของร้อยชาติพันธุ์ เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์มากินอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งผู้บำเพ็ญตนมีความแข็งแกร่งมากเท่าไร พวกเขายิ่งชอบกิน เนื่องจากพวกเขาต้องการกลั่นเอาเลือดแก่นจากอาหารเหล่านี้ คาดหวังว่าสามารถอาศัยสิ่งนี้มาให้กำเนิดทายาทรุ่นหลังขึ้นมาใหม่ แต่ว่า โอกาสเช่นนี้ต่ำมากจนสามารถละเลยมันได้ แต่สำหรับพวกเขาแล้ว อย่างน้อยมันก็คือโอกาส ดังนั้น พวกเขาเคยก่อมหกรรมกลืนกินสิบแคว้นแปดอาณาจักรในคราวเดียว”

“กลืนกินผู้บำเพ็ญตนจากสิบแคว้นแปดอาณาจักรในคราวเดียว” ทั้งอู่ฟ่งหยิ่ง และธิดาราชันฉีหลินต่างรู้สึกสะท้านขึ้นมา เมื่อได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล