หลังจากกองทัพที่มีไพร่พลนับล้านของจินเก๋อเข้าไปในไกลกันดารแล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ไปกัน พาพวกเจ้าไปดูอะไรเป็นการเปิดหูเปิดตา” กล่าวจบลงจากเรือนิรันดร
“บุก ของวิเศษ โชคโดยบังเอิญแท้ๆ ข้ามาแล้ว ทั้งหมดต้องเป็นของข้า” อู่ชีหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่อยู่กับร่องกับรอย วิ่งเข้าไปเหมือนดั่งพายุ
พวกของซึหุนหลินรีบติดตามหลี่ชิเย่ลงจากเรือนิรันดรเช่นกัน เมื่อเทียบกับท่าทางที่ดีใจของอู่ชีแล้ว พวกเขาดูจะสุขุมและใจนิ่งกว่ากันมากทีเดียว
เริ่มจากกำลังทหารนับหมื่นของจินเก๋อที่กรีธาทัพเข้าไปยังไกลกันดาร เวลานี้พวกของหลี่1ชิเย่ก็เข้าไปในไกลกันดารแล้วเช่นกัน ซึ่งทำให้บังเกิดความกล้าให้กับผู้คนจำนวนมากที่อยู่บนเรือนิรันดร พลันทยอยกันเดินทางเข้าไปยังไกลกันดารจำนวนไม่น้อย
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปยังไกลกันดาร พวกของธิดาราชันฉีหลินต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เมื่อสูดลมหายใจเอาอากาศที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไกลกันดารเข้าไปแล้ว พวกเขารู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้
เมื่อสูดเอาอากาศจากไกลกันดารเข้าไปในปอดแล้ว รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเผาไหม้อยู่ภายในอย่างนั้น มันหาใช่เป็นการเผาไหม้ที่ทำให้อวัยวะภายในได้รับความเจ็บปวด แต่เป็นการเผาไหม้จนจิตวิญญาณของตนให้ได้รับความเจ็บปวด เหมือนมีอะไรบางอย่างลวกเอาวิญญาณของตนเข้าให้อย่างแรง เป็นความเจ็บปวดชนิดที่เรียกว่าสลักอยู่ในส่วนลึกกลางใจและลุกลามออกไป
ความรู้สึกเช่นนี้ใช่ว่ามีเพียงธิดาราชันฉีหลินเท่านั้นที่เป็น ทุกคนที่เหยียบย่ำเข้าไปในไกลกันดารต่างมีความรู้สึกเช่นนี้ ความเจ็บปวดที่สามารถทำให้จิตวิญญาณรู้สึกไม่เป็นสุข!
“นี่มันอะไรกันแน่?” อู่ชีถึงกับตกใจ และกล่าวว่า “ข้ารู้สึกได้ว่าหัวใจถูกบีบจนรู้สึกเจ็บ เหมือนมีคนจับข้าฉีกอกอย่างนั้น”
“นี่ไม่เรียกว่าถูกบีบให้เจ็บ มันคือเสียงร้องโหยหวน” หลี่ชิเย่เดินเหยียบดินที่อยู่บนพื้น พูดเฉยเมยขึ้นมาว่า “เป็นเสียงร้องโหยหวนที่ตายเสียดีกว่าอยู่ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของสรรพชีวิตนับล้านล้านชีวิต ไม่ได้ผุดได้เกิด มองไม่เห็นตะวันไปตลอดกาล เป็นเสียงโหยหวนที่แม้กระทั่งกาลเวลาก็ยากจะลบเลือนไปได้! ความเจ็บปวดใดๆ ในหล้าล้วนเทียบไม่ได้กับมัน!”
“เสียงร้องโหยหวน…” อู่ชีพยายามพิเคราะห์คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ ถึงกับสะท้านขึ้นมา เนื่องจากนาทีนี้เขาเหมือนได้ยินสรรพชีวิตนับไม่ถ้วนกำลังร้องโหยหวนอยู่ภายในใจของตนอย่างนั้น
ภูมิประเทศของไกลกันดารงดงามอลังการมาก และกว้างขวางมาก แต่ โลกที่กว้างขวางงดงามอลังการเช่นนี้กลับถูกหมอกควันปกคลุมเอาไว้ หากสังเกตดูให้ละเอียด หมอกควันที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีเทา แต่มันมีสีดำอมม่วง ขณะเดียวกันสีสันแบบนี้ไม่เพียงเป็นแต่เป็นสีของหมอกควันที่อยู่ฟ้าเท่านั้น แม้แต่ดินบนพื้นดินก็เป็นสีนี้เช่นกัน สีเช่นนี้ดูแปลกๆ มีส่วนคล้ายสีของน้ำเลือดที่แห้งกรังอย่างนั้น
เมื่อลองดมดูกลิ่นนี้อย่างละเอียด รู้สึกถึงบางอย่างที่บอกไม่ถูก เหมือนเป็นกลิ่นชะมด และท่ามกลางกลิ่นชะมดนี้แฝงไว้ซึ่งกลิ่นเหม็นคาวจางๆ
“นี่มันกลิ่นคาวเลือด!” ธิดาราชันฉีหลินละเอียดมากขณะเดียวกันก็ไวมากด้วย เมื่อนางดมดูอย่างละเอียดแล้วร้องด้วยความตระหนกขึ้นมา นางมองดูท้องฟ้าและพื้นดินด้วยสัญชาตญาณ
“ถูกต้อง นี่ก็คือกลิ่นคาวเลือดที่นมนานมาก กลิ่นคาวเลือดที่กระทั่งผ่านยุคสมัยดึกดำบรรพ์มาก็ไม่สามารถลบเลือนมันได้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
ธิดาราชันฉีหลินมองดูสีของผืนแผ่นดิน แล้วก็มองดูหมอกควันบนท้องฟ้า ภายในใจของนางบังเกิดความคิดที่น่าสยดสยอง กล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “หรือว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการย้อมด้วยเลือดสดๆ จนแดงฉาน!” เมื่อนึกถึงจุดนี้ นางถึงกับสะท้านขึ้นมา
“ถูกต้อง เลือดสดๆ ย้อมผืนแผ่นดินจนแดงฉาน ย้อมโลกมนุษย์จนเป็นสีแดง” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับมองไปยังระยะห่างไกล
“ไม่น่าเป็นไปได้มั้ง หากจะให้เลือดสดๆ ย้อมที่ตรงนี้จนแดงฉาน เกรงว่าคงต้องอาศัยกองทัพนับล้านล้านมาโจมตีไกลกันดารแห่งนี้กระมัง” อู่ชีหลุดปากพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด
“ใครบอกว่าเป็นเพราะพวกเราโจมตีที่นี่ส่งผลให้เลือดสดๆ ย้อมที่นี่จนแดงฉาน?” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “นี่มันเป็นเลือดสดๆ ของพวกเขาเอง เป็นเลือดสดๆ ของพวกเขาที่ย้อมที่นี่จนแดงฉาน”
“เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่?” อู่ฟ่งหยิ่งถึงกับเอ่ยถามด้วยความตระหนก
“ง่ายมาก การเก็บเกี่ยว” หลี่ชิเย่มองไปทางระยะห่างไกลออกไป แววตากลับกลายเป็นลึกล้ำมาก และกล่าวว่า “มันเป็นยุคสมัยที่เจิดจรัส มั่งคั่ง รุ่งเรือง สงบปลอดภัย เป็นยุคสมัยที่ผู้คนใฝ่ฝันหา แต่ทว่า ยุคสมัยที่ก้าวไปถึงจุดสูงสุดเช่นนี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่านี่คือยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง แต่ว่า ค่ำคืนนั้นเอง มีผู้มาทำการเก็บเกี่ยวชีวิต เพียงชั่วข้ามคืน ยอดฝีมือจำนวนนับพันนับหมื่นถูกเก็บเกี่ยวเอาชีวิตไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปราศจากผู้ต่อกรแต่ละองค์ถูกเก็บเกี่ยว…”
“…สรรพสิ่งมีชีวิตเป็นล้านล้านชีวิตถูกเก็บเกี่ยวเอาชีวิตไป สงครามเกิดขึ้น โดยที่สงครามในครั้งนี้ยืดยื้ออยู่ไม่นาน สุดท้ายแล้วยุคสมัยที่รุ่งเรืองล่มสลาย ผู้ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้เหลือเพียงผู้ที่อ่อนด้อยและเด็ก ยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองกลับสู่ยุคหิน ไม่มีผู้ใดทราบว่ารายละเอียดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ ผู้โชคดีที่รอดชีวิตมาได้ที่มีเพียงผู้อ่อนด้อยและเด็กก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าได้เกิดอะไรขึ้น พวกเขาค่อยๆ ลืมเลือนเหตุการณ์เก็บเกี่ยวในครั้งนี้ ลืมเหตุเข่นฆ่าครั้งนี้ไป”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้ได้ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา
“เป็นใครกันที่ทำการเก็บเกี่ยวยุคสมัยนี้? เหตุใดจึงต้องเก็บเกี่ยว?” อู่ชีถึงกับเอ่ยถามด้วยความตระหนก
“เหตุใดจึงต้องเก็บเกี่ยวยุคสมัยนี้?” หลี่ชิเย่มองหน้าอู่ชีแวบหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า “ที่เจ้ามองเห็นเป็นเพียงยุคสมัยที่ชั่วคราวและสั้นเท่านั้นเอง เมื่อเจ้าสามารถทอดสายตามองดูยุคสมัยทั้งยุค เจ้าจึงสามารถมองเห็นได้ว่า นี่เป็นเพียงการเก็บเกี่ยวที่เป็นกิจวัตรประจำที่ปรกติมากครั้งหนึ่งเท่านั้น”
“การเก็บเกี่ยวที่เป็นกิจวัตรประจำที่ปรกติมาก?” อู่ชีถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...