หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยสำหรับคำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ข้าคือผู้ที่สังหารเจ้าอยู่แทบเท้าของข้า”
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ หัวเราะและกล่าวว่า “ถ้าหากด้วยอารมณ์ขณะข้ายังอยู่ในวัยหนุ่มล่ะก็ ต้องลงมือทันทีด้วยการทรมานเจ้าจนตายเสียดีกว่าอยู่ แล้วค่อยสังหารเจ้าเสีย เสียดาย ข้าแก่แล้ว อารมณ์ไม่ร้อนเท่าแต่ก่อนเสียแล้ว”
“ไม่ผิด เจ้าหน่ะแก่แล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “แต่ว่า โลกนี้คนที่สามารถสังหารข้าได้นั้นไม่ใช่เจ้า ยกเว้นสวรรค์โจรแล้ว ข้ายังนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะมาสังหารข้าได้”
ดวงตาทั้งสองของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยส่งประกายออกมา ขณะที่เขาเปล่งประกายออกมา โลกทั้งโลกแตกสลาย เหล่าสวรรค์เทพมารมลายสิ้น เขาไม่ได้มีกลิ่นกายที่สะเทือนฟ้า ไม่ได้มีอานุภาพที่ปราศจากผู้ต่อกร แต่ว่ายามที่ดวงตาคู่นั้นของเขาเปล่งเป็นประกายออกมา ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง กระทั่งกล่าวได้ว่าประกายตาของเขาสามารถเข่นฆ่าเทพสังหารราชันได้
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่อยู่พักใหญ่ สุดท้ายพยักหน้าหนักแน่นและกล่าวว่า “เป็นความจริง ในโลกนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่ตายแล้ว ไม่ห้าวหาญเหมือนก่อน แต่ว่า กล่าวสำหรับข้าแล้วการฆ่าไม่ตายไม่แน่เสมอไปว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดี จับเจ้าคุมขังเอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้น สำหรับผู้ที่ไม่มีวันตายอย่างเจ้าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดยิ่งกว่า เจ้าว่าหากตกอยู่ในกำมือของข้าแล้ว มันช่างเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเพียงใด?”
คำพูดบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้มีน้ำเสียงข่มขู่ และไม่ได้ยกตนข่มท่าน เพียงอาศัยน้ำเสียงที่ราบเรียบพูดเรื่องจริงเท่านั้นเอง แต่ว่า ด้วยน้ำเสียงคำพูดที่ราบเรียบเช่นนี้แหละ กลับทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าหากตกอยู่ในมือของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดเช่นนี้แล้วจะมีจุดจบที่เศร้ารันทดอย่างไร
ปฏิกิริยาของหลี่ชิเย่เรียบเฉยมาก หัวเราะและกล่าวว่า “ความเจ็บปวดบนโลกนี้มีมากเหลือเกิน ข้าลิ้มลองมาหมดแล้ว เคยมีคนที่แข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าเจ้าจับข้าไปขังเอาไว้ ข้าเชื่อว่าวิธีการที่เจ้าคิดออกมาได้ เขาก็คิดได้เช่นกัน เพียงแต่เสียดาย ผลลงเอยมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ข้าจัดการหลอกต้มตุ๋นเขาจนสุก และรีดสิ่งมีค่าทุกอย่างของเขาจนแห้ง!”
“ข้าก็สามารถรีดของมีค่าทุกอย่างของเจ้าจนแห้ง ไม่ต้องเหมือนเช่นครั้งก่อนนั้น วันนี้ข้าเพียงสยบเจ้าเอาไว้ก็สามารถรีดทุกอย่างของเจ้าจนแห้ง” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาดูอ่อนโยนยิ่งนัก
ขณะที่หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาเช่นนั้น ทำให้พวกของราชันสวรรค์จ้านหวังถึงกับขนลุกซู่ในใจ กลับกลายเป็นว่าคำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องขนลุก เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของหลี่ชิเย่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาต้องขนลุก
เนื่องจากพวกของราชันสวรรค์จ้านหวังเคยเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นนี้ของหลี่ชิเย่มาก่อน ยามที่หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“น่าสนใจ ข้าคาดหวังว่าจะมีใครสักคนสามารถสยบข้าได้จริงๆ กาลเวลาผ่านไปนานเกินไปแล้ว รู้สึกจืดชืดเหลือเกิน ถ้าหากมีใครสยบข้าได้จริงๆ นั่นถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แสดงว่าข้ายังมีงานที่จะทำได้อีกต่อไป เพียงแต่น่าเสียดาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำสำเร็จ” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มกล่าวและส่ายหัว
“บอกได้แต่เพียงโชคชะตาเจ้าไม่เลวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาในยุคสมัยนี้ เจ้าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่ได้เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าหากเจ้ามีความแข็งแกร่งถึงปานนั้น เจ้าคงไม่เอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่กล้าสู้กับสวรรค์โจรสักครั้ง”
“รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ แล้วจะทำไปทำไมเล่า” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยอมยิ้มและกล่าวว่า “ข้าแค่เปิดเกมด้วยปัญญาเท่านั้นเอง นับแต่โบราณกาลมาใครเล่าจะยกเว้นได้ แทนที่จะต้องตายหรือไม่ก็ถูกสยบจนคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง มิสู้ออมกำลังเอาไว้ เพื่อรุกกลับในวันข้างหน้าดีกว่า”
“อยู่ที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้ม ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ขลาดก่อนรบ สุดท้ายมันก็แค่ตกลงสู่ความมืดมิดเท่านั้นเอง สายน้ำแห่งกาลเวลาในอดีตถึงปัจจุบัน เคยมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่คิดหาวิธีการต่างๆ นานา ต่างก็มีดีของตน ไม่ว่าวิธีการเหล่านี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ยังได้ทำ”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว มองดูบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้วหัวเราะและกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าคิดว่านี่คือการเปิดเกมที่ชาญฉลาดของเจ้า แต่ตลอดชีวิตของเจ้าในอนาคต เจ้าก็ไม่ได้สู้รบเสียที แล้วเจ้าจะบอกว่าเป็นการเปิดเกมที่ชาญฉลาดได้อย่างไรกัน? เจ้าทำการเก็บเกี่ยวชีวิตในยุคของตนเองสมัยแล้วสมัยเล่า กลืนกินสิ่งมีชีวิต สิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปทั้งหมดมันก็แค่เหนื่อยเปล่าเท่านั้นเอง หากเป็นเพราะเพียงต้องการอยู่ไปวันๆ เท่านั้น เจ้าไหนเลยบอกได้ว่านี่เป็นความชาญฉลาดได้ มันก็แค่ผีดูดเลือดที่อยู่ในความมืดเท่านั้นเอง”
“อนาคตจะเป็นเช่นใด ใครเล่าที่จะล่วงรู้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็ไม่โกรธ ไม่โมโห ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “หนทางอันยาวไกล วางแผนโดยยังไม่ลงมือ หากไม่วางแผนแล้วจะลงมือได้อย่างไรกัน”
“พูดไปพูดมายังคงเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนั่น” หลี่ชิเย่ส่ายหน้า และกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าที่คิดว่าตัวเองนั้นคือผู้ที่มีสติปัญญายิ่งใหญ่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ยังคงไม่สามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นเอาไว้ได้”
“เจ้าให้คำจำกัดความกับจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าการยึดมั่นในคุณธรรม ยึดมั่นในแสงสว่างจึงนับเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงอย่างแท้จริงรึ?” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มกล่าว
“เจ้าลองถามใจตัวเองว่า ยามที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเจ้าตื่นตัว สิ่งที่เจ้าปรารถนาคือสิ่งใด?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “จิตที่ไม่ลืมความตั้งใจแรกเริ่ม นั่นแหละคือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง ไม่เกี่ยวกับการยึดมั่นในคุณธรรม ไม่เกี่ยวกับการยึดมั่นในแสงสว่าง หรือว่ายามที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเจ้าตื่นตัว ความตั้งใจแรกเริ่มของเจ้าก็คือการกลืนกินฟ้าดิน เลือดล้างสิ่งมีชีวิตยุคแล้วยุคเล่ารึ? บนโลกใบนี้เว้นแต่เผ่าพันธุ์ที่มีความพิเศษแล้ว มีใครเล่าที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับจิตใจที่มืดดำดวงหนึ่ง”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้าย เขายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ผลแพ้ชนะยังไม่ปรากฏ สรุปตอนนี้ออกจะเร็วไปนิดหนึ่ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...