ประกายศักดิ์สิทธิ์ยังคงไหลรินอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา แม้ว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หลอมรวมเข้าไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา มันไม่ได้ไปบงการสายน้ำแห่งกาลเวลา แต่แสงสว่างจากประกายศักดิ์สิทธิ์กลับมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง นักปราชญ์ได้จุดติดความสว่างสายนั้นลงกลางใจของทุกๆ สรรพสิ่งมีชีวิต
ภายใต้ประกายศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่สัตว์ดุร้ายก็ถูกกล่อมเกลาจนถึงกับหมอบกราบได้
ที่ที่ประกายศักดิ์สิทธิ์มีความร้อนแรงมากที่สุดยังคงเป็นช่วงเวลาที่เป็นยุคสมัยของไกลกันดารยุคนั้น ณ ที่ตรงนั้นประกายศักดิ์สิทธิ์ทำการแผดเผาความมืดอย่างรุนแรง ในยุคสมัยไกลกันดารนี้ มันไม่เพียงทำให้ตลอดยุคสมัยบริสุทธิ์เท่านั้น มันยังเผาผลาญอย่างบ้าคลั่ง มันต้องการเผาไหม้ความมืดจนไม่เหลือซาก
แน่นอนที่สุด ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ลุกไหม้ขึ้นมานั้น มันไม่เผาไหม้ความมืดเท่านั้น แต่เผาไหม้ตัวเองไปด้วย ยามที่ความมืดสลายไปดั่งเมฆหมอก ประกายศักดิ์สิทธิ์เองใช่ว่าจะไม่ได้กลายเป็นเถ้าธุลีไปในขณะเดียวกัน
ช่วงเวลาของยุคสมัยไกลกันดารช่วงนั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่ตรงนั้นมีความร้อนแรงยิ่งนัก ขณะเดียวกันที่ตรงนี้ก็เป็นต้นกำเนิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากนักปราชญ์ได้จุดติดตัวเองขึ้นมา
ท่ามกลางที่ที่เป็นต้นกำเนิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ร้อนแรงยากจะหาใดเทียม มีสัจธรรมที่ยึดครองอยู่ที่ตรงนั้น โดยที่สัจธรรมสายนี้มีความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์อย่างยิ่ง และมีความเจิดจรัสยิ่งนัก อีกทั้งท่ามกลางสัจธรรมสายนี้เสมือนหนึ่งมีเสียงหัวใจเต้นตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บดังแว่วออกมา คล้ายดั่งมีหัวใจที่ใหญ่โตปราศจากผู้เทียบเทียมดวงหนึ่งที่เต้นอยู่ตรงนั้น
เพราะว่ามีหัวใจลักษณะเช่นนี้ที่เต้นอยู่นั่นเอง มันจึงได้มอบพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ขอบเขตจำกัดให้กับโลกใบนี้ มีเพียงการขับเคลื่อนภายใต้พลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ จึงจะทำให้ประกายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งจะส่องสว่างไปทั่วหล้ามากขึ้น ส่องสว่างทุกชาติอย่างเสมอภาคยิ่งขึ้น
ถูกต้อง หัวใจดวงนั้นที่กำลังเต้นอยู่ท่ามกลางสัจธรรมก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นที่ไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนได้ของนักปราชญ์นั่นเอง จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของงมันได้กลับกลายเป็นต้นกำเนิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นต้นกำเนิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ และมีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนี้ของนักปราชญ์ไม่หวั่นไหลดั่งหินผา จึงสามารถทำให้ประกายศักดิ์สิทธิ์เป็นนิรันดร์
ในขณะนี้ วันเวลาของยุคสมัยไกลกันดารก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ความมืดได้หลอมรวมเข้าไปท่ามกลางเวลาของยุคสมัยไกลกันดารอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังสามารถได้ยินเสียงน้ำขึ้นดังช่าาา ช่าาา
เวลานี้ ไม่เพียงแต่ความมืดที่หลอมรวมเข้ากับวันเวลาของยุคสมัยไกลกันดารเท่านั้น อีกทั้งความมืดที่ได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนดังน้ำทะเลขึ้นที่หนุนเนื่องขึ้นมา ทั้งยังยิ่งหนุนยิ่งสูง ความมืดก็เหมือนเช่นทะเลอย่างนั้น ใต้ท้องทะเลมีตาน้ำความมืดมิดที่พวยพุ่งเป็นน้ำทะเลความมืดที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง
เสียงลุกไหม้จี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น แม้ว่าประกายศักดิ์สิทธิ์จะเผาผลาญความมืดอย่างบ้าคลั่ง แต่ทะเลความมืดที่ขึ้นมาตามกระแสน้ำขึ้นกลับเริ่มโอบล้อมประกายศักดิ์สิทธิ์เอาไว้
มองเห็นคลื่นน้ำทะเลความมืดที่ขึ้นสูงเป็นล้านล้านจ้าง เขาโอบล้อมประกายศักดิ์สิทธิ์เอาไว้จากทุกทิศทุกทาง ห่อหุ้มจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นของนักปราชญ์เอาไว้
แม้จะกล่าวว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ได้ทำการเผาผลาญกระแสน้ำมืดดำนั้นอย่างบ้าคลั่งและดุดัน แต่ว่า กระแสน้ำดำมืดกลับไม่มีสิ้นสุด ทั่วทั้งไกลกันดารได้กลับกลายเป็นทะเลความมืดที่สยดสยองมากที่สุดในโลก แสงสว่างใดๆ ก็ตามหากตกลงไปในทะเลความมืดนี้ล่ะก็จะไม่สามารถฟื้นคืนได้อีกเลย
จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนักปราชญ์นับว่าไม่หวั่นไหวดั่งหินผาอย่างแท้จริง แต่ทว่าในยุคสมัยของไกลกันดารนี้ ธาตุแท้ภายในของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแข็งแกร่งกว่านักปราชญ์มากโขทีเดียว เรียกได้ว่าความมืดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้แทรกซึมเข้าสู่ทุกวินาทีของวันเวลาของยุคสมัยไกลกันดารไปแล้ว
ดังนั้น จึงเป็นเหมือนดั่งบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้กล่าวเอาไว้ว่า แม้ว่าเขาได้ระเบิดต้นกำเนิดของตนไป แต่เขากลับคงอยู่คู่กับยุคสมัยของไกลกันดาร ไม่ว่าวันเวลาของยุคสมัยไกลกันดารจะเป็นเช่นใด ขอเพียงยังมีวันเวลาเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ความมืดก็คงอยู่เป็นนิรันดร์
หลังจากที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้หลอมรวมเข้ากับยุคสมัยของไกลกันดารโดยสิ้นเชิงไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้นักปราชญ์มีวิธีการอื่นใดทำให้กำลังของตนเหนือกว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็ตาม เขาก็ไม่สามารถทำลายบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้!
จี๊ด จี๊ด จี๊ดเสียงลุกไหม้อย่างรุนแรงดังขึ้นเป็นระลอก จากการที่คลื่นทะเลความมืดที่ดันสูงขึ้นอย่างไม่หยุดไม่หย่อน คลื่นทะเลความมืดจึงเข้าล้อมและห่อหุ้มประกายศักดิ์สิทธิ์เอาไว้อย่างบ้าคลั่ง ต่อให้ประกายศักดิ์สิทธิ์เผาผลาญอย่างรุนแรงเช่นใดก็ไม่สามารถเผาไหม้ความมืดให้หมดสิ้นไปได้
จากคลื่นทะเลความมืดที่ดันขึ้นสูงไม่หยุดไม่หย่อน ทำให้ประกายศักดิ์สิทธิ์เริ่มถูกห่อหุ้มเอาไว้แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามยืนอยู่บนสายน้ำแห่งกาลเวลาและมองขึ้นไป ก็จะพบว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ได้สูญเสียประกายที่มันวาวของมันไปแล้ว เดิมประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลรินไปตามสายน้ำแห่งกาลเวลาในขณะนี้สลดและอับแสง ทั้งยังพร้อมที่จะดับลงได้ทุกเวลา
เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาแล้วมองขึ้นไป จะพบว่าช่วงเวลาของยุคสมัยไกลกันดารมืดดำไปเป็นแถบ อีกทั้งยังเป็นเหมือนดั่งหลุมดำที่น่าสยองขวัญมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างเช่นใดก็ตาม เมื่อเข้าใกล้ช่วงเวลานี้แล้วก็จะถูกจับเอาไว้ และตกลงสู่ห้วงความมืดตลอดกาลไม่มีวันฟื้นคืน ไม่ได้เห็นตะวันตลอดไป
ดังนั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวังที่มองเห็นภาพนี้แล้วถึงกับใจหาย การที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยสามารถกลายเป็นต้นกำเนิดความมืดของยุคสมัยไกลกันดารใช่จะไม่มีเหตุผล
จากการที่คลื่นทะเลความมืดเข้าห่อหุ้มประกายศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ทำให้ประกายศักดิ์สิทธิ์มีแสงที่สลดลงทุกที ทั่วทั้งยุคสมัยของไกลกันดารจะต้องถูกยึดเอาไป กลายเป็นกาลเวลาที่ปราศจากความสว่างไปตลอดกาล!
ภาพลักษณะเช่นนนี้คล้ายดั่งสรรพสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอแหงนหน้าแล้วมองเห็นดวงตะวันถูกกลืนกินอย่างนั้น ถ้าหากมีสักวันดวงตะวันถูกกลืนกินไปแล้ว กล่าวสำหรับสรรพสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอแล้ว คือจะไม่ได้เห็นตะวันอีกตลอดไป ตกอยู่ในความมืดชั่วนิรันดร์ ลองนึกภาพดู ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้จะมีสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนเท่าไรที่รู้สึกสิ้นหวังและร้องด้วยความเศร้าโศกออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...