นอกเหนือจากชิงโจวแล้วทวีปอีกสิบสองทวีปห่างไกลกันมาก จอมราชันเซียนหวังระดับล่างไม่สามารถก้าวข้ามระหว่างทวีปมองเห็นการศึกในครั้งนี้ได้ ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังระดกับสูงก็มองเห็นได้แค่เลือนลางเท่านั้นเอง
แต่ว่าพลังจากศึกสงครามระดับนี้สะเทือนหวั่นไหวไปทั่วทั้งสิบสามทวีป ด้วยพลังระดับเช่นนี้ จอมราชันเซียนหวังของสิบสามทวีปไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ต่อให้จอมราชันเซียนหวังของทวีปอื่นๆ ไม่สามารถเข้าใจอย่างละเอียดว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สามารถคำนวณคาดการณ์ได้ในระดับหนึ่ง
เวลานี้หัวใจศักดิ์สิทธิ์ได้เต้นอยู่บนสายน้ำแห่งกาลเวลา ยิ่งส่งผลให้จอมราชันเซียนหวังของสิบสามทวีปรับรู้ถึงพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งซึ่งทำให้เกิดการกระเพื่อมไปทั่วทั้งยุคสมัย
ปัง ปัง ปังครั้นหัวใจศักดิ์สิทธิ์เต้นอย่างมีจังหวะเช่นนี้ ภายในส่วนลึกของจิตใจบรรดาสรรพสิ่งมีชีวิตบนสายน้ำแห่งกาลเวลาล้วนแล้วแต่บังเกิดจังหวะการเต้นเช่นนี้ดังขึ้น และประสานเสียงเข้าด้วยกัน
เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมา สุดท้าย หัวใจศักดิ์สิทธิ์ที่เต้นอยู่เดิมพลันระเบิดขึ้นมากะทันหัน ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดพลันระเบิดขึ้นมาในพริบตา ความสว่างของประกายศักดิ์สิทธิ์พลันเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง มันส่องสว่างไปทั่วทั้งสายน้ำแห่งกาลเวลา ด้วยขนาดความสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เสมือนหนึ่งได้ส่องสว่างไปทั่วทุกมุมของสายน้ำแห่งกาลเวลาในชั่วพริบตาเดียว ขณะที่ความสว่างขนาดนี้สว่างไปทั่วสายน้ำแห่งกาลเวลาทั้งสายนั้น ทำให้ความมืดปราศจากที่ที่จะหลบซ่อนตัว มันส่องสว่างไปยังความมืดที่อยู่ทุกมุมบนสายน้ำแห่งกาลเวลา
ดังนัน นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงส่องสว่างเข้าไปในจิตใจของสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน มันไม่เพียงส่องสว่างเข้าไปในความมืด นำพาความหวังให้กับสรรพสิ่งมีชีวิตที่สิ้นหวังเท่านั้น ขณะเดียวกัน ยามที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเข้าไปยังความมืดนั้น ทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตในความมืดถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เสียงฮึ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างท่ามกลางความมืดนั้น มีผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกตกใจประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา ได้ส่งเสียงฮึดูแคลนคำหนึ่งแต่ไม่กล้าปรากฏตัว ได้หลบหนีไปยังความมืดที่อยู่ลึกมากขึ้น ฝังตัวเองให้ลึกมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก
สำหรับบรรดาจอมราชันเซียนหวังจำนวนไม่น้อยในสิบสามทวีปก็ได้แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ่งกว่านั้น จอมราชันเซียนหวังที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าจะไล่ติดตามขึ้นไปยังสายน้ำแห่งกาลเวลา เฝ้ามองดูยุคสมัยของไกลกันดาร มองดูการระเบิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ ส่องสว่างยุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า ทำให้จอมราชันเซียนหวังถึงกับสะเทือนหวั่นไหวภายในใจ
ความยิ่งใหญ่ของนักปราชญ์ ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามต้องลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง เขาไม่เพียงต่อต้านความมืดอย่างแข็งขันในยุคสมัยของตน พยายามนำพามาซึ่งแสงสว่างให้กับยุคสมัยของตน พยายามเฝ้าปกป้องยุคสมัยของตนด้วยความยากลำบาก ในวินาทีสุดท้าย เขาถึงกับจุดติดตนเอง ให้ประกายศักดิ์สิทธิ์ของตนส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลา ส่องสว่างความมืด จุดติดความสว่างที่อยู่ภายในจิตใจของคนทุกคน นำมาซึ่งความหวังให้กับผู้คน
ไม่รู้ว่ามีจอมราชันเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่รู้สึกสะเทือนหวั่นไหวกับการระเบิดของประกายศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น จอมราชันลึกลับที่กุมอำนาจขณะเฝ้ามองไปตามสายน้ำแห่งกาลเวลาอยู่นั้นถึงกับเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “จุดไฟเผาไหม้นักปราชญ์ ลงทุนสูงมาก หวังว่าสามารถเตือนใจผู้มาทีหลังก็แล้วกัน”
ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ระเบิดส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลานั้น บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในความมืดล้วนแล้วแต่ไม่กล้าเสนอหน้าออกมา ล้วนแล้วแต่หลบหนีไปยังความมืดที่อยู่ลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก พวกเขาไม่ต้องการแหงนมองประกายศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลาอยู่นานมากแล้ว สุดท้ายได้จางหายไป หัวใจศักดิ์สิทธิ์ทั้งดวงที่ระเบิดขึ้นก็คล้ายดั่งเป็นดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นยามดึกดื่น งดงามเจิดจ้า แต่แวบขึ้นมาแล้วก็หายไป หลังจากที่ประกายศักดิ์สิทธิ์จางหายไปแล้ว สายน้ำแห่งกาลเวลายังคงไหลรินเงียบๆ เหมือนเดิม
แม้แต่ยุคสมัยไกลกันดารก็ยังคงปราศจากซุ่มเสียงใดๆ วันเวลายังคงส่งประกายแวบวับ ความมืดไม่ได้กลืนกินมัน ประกายศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ได้ครอบคลุมมัน เวลายังคงเป็นเวลา มันเป็นส่วนของยุคสมัยไกลกันดาร ไม่ได้เป็นของความมืด และไม่ได้เป็นของความสว่าง
การที่ได้มองเห็นเวลาของยุคสมัยไกลกันดารที่ส่งประกายแวบวับเงียบๆ ไม่รู้ว่าได้ทำให้จอมราชันเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่ต้องลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง เป็นนักปราชญ์ที่เอาชนะยุคสมัยไกลกันดาร แต่ทว่า เขาไม่ได้ไปควบคุมเวลาของยุคสมัยนี้ ท้ายที่สุดเขาเพียงเผาไหม้ตัวเองและส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลา เขาไม่ได้ให้ตัวเองหลอมรวมเข้าไปอยู่ในยุคสมัยของไกลกันดาร ไม่ได้ให้ตัวเองหยุดอยู่ตลอดกาลท่ามกลางเวลาของยุคสมัยนี้ ไม่ได้ยึดครองเวลาของยุคสมัยนี้มาเป็นของตน
สุดท้ายแล้ว นักปราชญ์ยังคงมอบเวลาคืนกลับให้กับไกลกันดาร แม้ว่ายุคสมัยของไกลกันดารไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ว่า นักปราชญ์ยังคงไม่ได้ไปยึดครองเศษเสี้ยวของเวลาส่วนที่เหลือเอาไว้ เนื่องจากเวลาส่วนนี้ถือเป็นของไกลกันดาร เป็นของสรรพสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิต ไม่ได้เป็นของของเขา และไม่ได้เป็นของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย จะเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็ดี ความมืดก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ไม่สมควรยึดครองเวลาของไกลกันดาร ดังนั้น นักปราชญ์จึงได้เผาไหม้ตัวเอง เพื่อคืนเวลาดังกล่าวให้กับไกลกันดาร
สิ่งนี้เป็นความใจกว้างที่ยอดเยี่ยมมาก ในโลกนี้จะมีสักกี่คนสามารถทำได้เล่า การให้ที่ไม่เห็นแก่ตัวและไม่มีคำว่าเสียใจ สมแล้วที่รับฉายาว่านักปราชญ์
“ผู้เป็นปราชญ์ได้ตายจาก แต่คงอยู่ในใจตลอดกาล” หลี่ชิเย่ลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาและโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง และกล่าวด้วยความเคารพ มองดูประกายศักดิ์สิทธิ์ที่จางหายไปในที่สุด
พวกของราชันเซียนฉานหลงก็ทยอยกันแสดงออกด้วยความเคารพอย่างสูง ท่าทีหนักแน่นจริงจัง ต่างโค้งคำนับให้กับเวลาที่อยู่ไกลโพ้น เพื่อแสดงความเคารพต่อนักปราชญ์
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ตายไปแล้ว ไกลกันดารดูเงียบสงัดยิ่งนัก แต่ทว่า ท่ามกลางความเงียบสงัดกลับมีความสงบที่หาได้ยากยิ่ง ท่ามกลางโลกลักษณะเช่นนี้ไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความโศกเศร้าที่วนเวียนอยู่ตรงนี้ไม่สามารถไปไหนได้ตลอดกาล ทั่วทั้งไกลกันดารไม่มีความมืดที่ปกคลุม แม้ว่าทั่วทั้งไกลกันดารยังคงมีความเงียบงันเป็นหลัก แต่ ท้ายที่สุดแล้ว บางทีอาจจะได้ให้การต้อนรับความมีชีวิตชีวาสักวัน
นักปราชญ์ก็ได้ตายไปแล้ว ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่คงอยู่ต่อไป แต่มันกลับคงอยู่ในใจของผู้คนตลอดไป
บางทีบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพูดถูก ความมืดเป็นนิรันดร์ บนโลกไม่มีที่ใดที่ไม่มีความมืด แต่ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะไม่คงอยู่ทุกที่กันเล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...