หลี่ชิเย่เดินทางมุ่งหน้าไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้า โดยมีเถาถิงเดินตามไปติดๆ เมื่อนางนึกถึงปัญหาเมื่อครู่จึงเอ่ยถามว่า “พี่หลี่ต้องการไปชั้นเรียนใดรึ?”
“เรือนตำรา” หลี่ชิเย่พูดเรียบเฉยขึ้นมา
“เรือนตำรา?” เถาถิงถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เพราะคำพูดของหลี่ชิเย่อยู่เหนือความคาดคิดของนางโดยสิ้นเชิง
เป็นความจริงที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีระดับชั้นเรียนอยู่ห้าชั้นเรียน คือมหาบุรุษ จวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์ ศตาคาร และเรือนตำรา
แต่หากจะว่ากันจริงจังแล้ว ที่ผู้คนจำนวนมากพูดถึงก็คือ มหาบุรุษ จวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์ ศตาคารสี่ชั้นเรียนเหล่านี้ แม้ว่าชั้นเรียนมหาบุรุษจะรับนักศึกษาน้อยมาก็ตาม โดยรับเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น แต่ทว่าชั้นเรียนมหาบุรุษยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอๆ
ตรงกันข้ามกลับเป็นเรือนตำราที่นักศึกษาน้อยคนนักจะเอ่ยถึง กระทั่งกล่าวได้ว่าหากสามารถเลือกได้ คงมีผู้คนไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้องการเลือกชั้นเรียนเฉกเช่นเรือนตำรานี้
แม้จะกล่าวว่าเรือนตำราก็เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และเรือนตำราเองก็ถ่ายทอดวิชาการบำเพ็ญเพียร อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับนักศึกษาของเรือนตำราเหมือนกัน อธิบายถึงความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่นักศึกษาของเรือนตำราร่ำเรียนคือประวัติศาสตร์โลกของผู้บำเพ็ญตนของสิบสามทวีป และหรือให้ประพันธ์เรื่องที่เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของสิบสามทวีป
กล่าวสำหรับบุคคลผู้มีจิตใฝ่บำเพ็ญเพียรแล้ว การสมัครเขาศึกษาในสถาบันศึกษาเทพเจ้าย่อมเพื่อต้องการฝึกฝนสัจธรรม ย่อมมีความคิดว่าสักวันหนึ่งสามารถสืบทอดชะตาฟ้าได้
ลองนึกภาพดู ให้ผู้บำเพ็ญตนไปศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้บำเพ็ญตนในสิบสามทวีป ไปประพันธ์เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของสิบสามทวีป เกรงว่าคงมีผู้บำเพ็ญตนไม่กี่คนที่ยอมทำ ทุกคนที่มายังสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างหวังว่าจะได้ฝึกวิชาเหินฟ้าดำดินได้ จะมีสักกี่คนที่ยินดีไปเป็นหนอนหนังสือกันเล่า
ดังนั้น ตลอดเวลาผ่านมานักศึกษาของเรือนตำราจึงมีจำนวนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้น้อยเท่ากับชั้นเรียนมหาบุรุษ แต่ก็คงมากกว่ากันไม่เท่าไร
เหมือนดั่งเช่นนักศึกษาของเรือนตำราในรุ่นนี้ ได้ยินมาว่ามีนักศึกษาอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ดังนั้น ในขณะนี้เถาถิงถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่อีกครั้ง แม้ว่านางจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับเรือนตำราสักเท่าไร แต่ว่านางรู้จักชื่อนักศึกษาในเรือนตำราทั้งหมด แต่ในจำนวนนั้นไม่มีชื่อของหลี่ชิเย่
พี่หลี่ นี่มัน…เถาถิงไม่รู้ว่าจะถามคำถามกับหลี่ชิเย่อย่างไรดี
เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นท่าทางของเถาถิงแล้วจึงต้องการแหย่นาง ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเป็นคนมาใหม่ไม่ได้รึ?”
“เพียงแต่ ภาคเรียนนี้ไม่รับนักศึกษาใหม่” เถาถิงทำท่าขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เหมือนเป็นกังวลแทนหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ถ้าหากพี่หลี่ต้องการเข้าเรียนในเรือนตำราหละก็ เกรงว่าคงมาเสียเที่ยวแล้ว อย่างน้อยต้องรอให้ถึงภาคการศึกษาหน้าจึงมีโอกาส”
หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ก็เข้าไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน บนโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถบอกได้ ผู้ที่มีความตั้งใจก็ย่อมทำได้สำเร็จ ไม่แน่นักข้าอาจโชคดี ไม่ทันระวังก็เข้าไปได้แล้ว”
“มันก็ใช่” เถาถิงนึกดูแล้วรู้สึกว่าคำพูดของหลี่ชิเย่คำนี้ก็มีเหตุผล นางมีความรู้สึกสนิทสนมต่อหลี่ชิเย่ ถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจว่า “พี่หลี่ เรือนตำราใกล้กับประตูทางทิศใต้มากที่สุด หากพี่หลี่ต้องการไปเรือนตำราไปทางประตูทิศใต้ดีที่สุด ที่ประตูทิศใต้มีรุ่นพี่ของศตาคารดูแลอยู่พอดี ข้ารู้จักพวกเขา ข้าจะพาพี่หลี่ไปเอง” กล่าวพลางเดินนำทางให้กับหลี่ชิเย่
เดิมทีหลี่ชิเย่ต้องการแหย่นางเล่น นึกไม่ถึงว่านางจะมีน้ำใจไมตรีถึงเพียงนี้ ทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ทันใดนั้น ทำให้เขาเหมือนว่าได้มองเห็นร่างเงาของคนที่คุ้นเคยบนตัวของเถาถิงขึ้นมาอย่างนั้น
สถาบันศึกษาเทพเจ้ากินพื้นที่อาณาบริเวณที่กว้างขวางมาก แทนที่จะบอกว่าเป็นสถานศึกษามิสู้บอกว่าเป็นแคว้นๆ หนึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า ทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้า มีพื้นที่ที่กว้างขวางไร้ขอบเขต กินพื้นที่นับล้านลี้ เรียกได้ว่าพื้นที่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าครอบครองไม่ด้อยไปกว่าแคว้นเจ้าลัทธิใดๆ ทั้งสิ้น
ต่อให้เถาถิงซึ่งนำพาหลี่ชิเย่เหินไปด้วยความเร็วสูงมาก แต่กว่าจะไปถึงประตูทิศใต้ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งค่อนวัน
ระหว่างทางที่มุ่งไปยังประตูทิศใต้ เดิมทั้งสองไม่น่าจะมีคำสนทนาใดๆ ได้ แต่ เถาถิงนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง นางจึงอดที่จะเอ่ยถามหลี่ชิเย่ออกไปไม่ได้ว่า “พี่หลี่ มีเรื่องๆ หนึ่งไม่ทราบว่าควรจะถามหรือไม่?”
“ว่ามาได้เลยไม่มีปัญหา” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมย
เถาถิงทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ครั้งก่อนขณะพี่หลี่ไปที่หมู่บ้านเถาของข้า เกรงว่าคงไม่ใช่เป็นเพียงทางผ่านกระมัง? แน่นอน หากมีสิ่งใดล่วงเกินขอพี่หลี่ได้โปรดอภัย”
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่มองหน้าเถาถิงทีหนึ่ง ไม่ได้ปิดบังและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าจะแวะไปดูสักหน่อยพอดี”
เมื่อเถาถิงได้ยินคำพูดนี้แล้ว นางลังเลนิดหนึ่ง ไตร่ตรองชั่วครู่ สุดท้ายยังคงพูดออกไปว่า “เป็นศาลเจ้าหลังเล็กๆ หลังนั้นของหมู่บ้านเรารึ?”
ความจริงแล้ว ภายในใจของนางเดาออกได้บ้างแล้ว และในใจของนางมั่นใจว่า การที่หลี่ชิเย่มาที่หมู่บ้านเถาของพวกเขาก็ด้วยเรื่องของศาลเจ้าหลังน้อยๆ นั้นเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ถูกต้อง เป็นศาลเจ้าหลังน้อยนั่น ไม่ได้แวะไปดูมานานมากแล้ว พอดีมีจังหวะก็เลยแวะไปดูสักหน่อย”
“ภายในศาลเจ้าหลังน้อยมีอะไรอยู่รึ?” คราวนี้เถาถิงหลุดปากถามออกไปโดยไม่ต้องคิด
เถาถิงเองก็รู้สึกแปลกใจมากสำหรับศาลเจ้าหลังน้อยนั่น นางเคยถามผู้เฒ่าผู้ทั้งหมดภายในหมู่บ้าน ไม่มีใครรู้ว่าศาลเจ้าหลังน้อยนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ในความทรงจำของผู้เฒ่าที่มีอายุมากที่สุด ศาลเจ้าหลังน้อยนี้มีมานมนานมากๆ แล้ว อีกทั้งมีมาตั้งแต่ก่อนรุ่นพ่อของเขาเสียอีก หรือบางทีศาลเจ้าหลังน้อยนี้อาจมีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเถาแห่งนี่ของพวกเขาแล้ว
เถาถิงเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ ในอดีตศาลเจ้าหลังน้อยธรรมดาๆ หลังนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คน ตอนที่นางยังเด็กอยู่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ โดยที่ศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาที่อยู่ในหมู่บ้านเถาอย่างนั้น ทุกคนต่างเคยชินกับการดำรงอยู่ของมันเสียแล้ว
แต่ทว่า คราวนี้กลับทำให้เถาถิงบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่สิ้นสุดขึ้นภายในใจอย่างสิ้นเชิง นางคิดอยากจะเปิดประตูของศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ แต่ไม่ว่านางจะใช้ความพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถเปิดออกได้ ต่อให้นางใช้กำลังจนสุดแรงเกิดก็ยังคงเปิดศาลเจ้าหลังน้อยหลังนี้ออกมาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...