การที่บุคคลผู้หนึ่งก้าวเดินไปบนเส้นทางบำเพ็ญเพียรเพื่ออะไรกันหละ? ก็เพื่อฝึกวิชา ฝึกเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งพิสดารมากกว่านี้ ฝึกเคล็ดวิชาราชันที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า จะมีผู้บำเพ็ญตนสักกี่คนยินดีเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์กันเล่า?
ลองถามดูว่า จะมีผู้บำเพ็ญตนสักกี่คนที่นั่งอ่านนั่งกอดแต่ตำราอ่านเล่นทั้งวัน เสียเวลาอยู่กับตำราอ่านเล่นที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย
ลองนึกภาพดู เดิมทีหญิงสาวเช่นเย่ซินเสวี่ยสมควรมีอนาคตที่ไม่เลวนัก แต่ว่านางกลับกอดและอ่านตำราอ่านเล่นทั้งวันเป็นการฆ่าเวลา เกือบจะกลายเป็นหนอนหนังสือหญิงไปแล้ว ดังนั้น ในสายตาของคนในครอบครัวจึงมองว่าเย่ซินเสวี่ยคือคนที่ไม่เอาถ่าน ทำตัวเอ้อระเหยไปวันๆ
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มที่จางๆ ออกมา มองดูใบหน้าของเย่ซินเสวี่ยที่ดูจะดีอกดีใจอยู่เล็กน้อย สายตาของเขาได้ตกไปอยู่ที่ตำราที่เย็บสันหนังสือด้วยเส้นด้ายที่อยู่ในกระเป๋าของเย่ซินเสวี่ยเล่มหนึ่ง ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “นั่นหนังสืออะไร ให้ข้าดูหน่อยสิ”
เย่ซินเสวี่ยตะลึงนิดหนึ่ง ตำราเล่มนี้นับว่ามีความล้ำค่าอยู่บ้างสำหรับนาง นางพกมันติดตัวอยู่เสมอ อีกทั้งยังเปิดอ่านอยู่เสมอๆ กระทั่งนางชอบที่จะไปครุ่นคิดคำทุกคำที่อยู่ในตำราเล่มนี้
“นี่ นี่คือตำราที่ข้าชอบอ่านมากที่สุด” เมื่อหลี่ชิเย่ออกปากขอ เย่ซินเสวี่ยก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้ นางใช้สองมือประเคนส่งให้ พร้อมกับพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
คำพูดนี้เป็นการบ่งบอกชัดเจน และสามารถมองออกว่านางหวนแหนตำราเล่มนี้จริงๆ
หลี่ชิเย่รับเอาตำราเล่มนี้มา มันเป็นหนังสือที่มีการเย็บรวมเล่มเอาไว้เรียบง่าย เป็นเล่มที่มีความหนามามก รู้สึกได้ว่ามันหนักมือเมื่อถือมันอยู่ในมือ บนหน้าปกเขียนเอาไว้ว่า “ตำนานเกี่ยวกับมนุษยชาติ” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาเมื่อได้เห็นชื่อตำราเล่มนี้
หลี่ชิเย่พลิกดูตำราเล่มนี้ ทุกๆ ตัวอักษร ทุกๆ ถ้อยคำล้วนแล้วแต่เขียนได้เรียบร้อยดีมาก มันเป็นเล่มที่เขียนขึ้นจากลายมือของผู้แต่งเอง ไม่ใช่ฉบับคัดลอก มันคือต้นฉบับดั้งเดิม
แม้ว่าตำราเล่มนี้จะเป็นตำราที่มีความหนามากเล่มหนึ่ง แต่การเดินเรื่องของผู้เขียนไม่ได้เป็นไปอย่างรื่นไหล ทุกๆ ตัวอักษร ทุกๆ ถ้อยคำล้วนแล้วแต่มีความระมัดระวังรอบคอบ มีการพินิจพิเคราะห์ถึงการใช้คำว่าเหมาะสมหรือไม่
หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มและกล่าวว่า “เขียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว พูดได้เหมือนจริงเลยทีเดียว”
“นั่นสิ ข้าเองก็รู้สึกว่ามันจริง ผู้เขียนบอกว่ามีเงาสายหนึ่งที่คอยปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา ตั้งแต่เก้าแดนจนถึงแดนที่สิบ สิ่งที่เอ่ยถึงในนั้นมีหลายสิ่งเหมือนของจริงอย่างนั้น” เมื่อเย่ซินเสวี่ยเห็นหลี่ชิเย่เห็นด้วยก็รู้สึกดีใจ ใบหน้าน้อยๆ นั้นแดงก่ำ นางรู้สึกเหมือนได้พบกับคนรู้ใจอย่างนั้น
ตำราเล่มนี้เป็นนิทานที่แต่งขึ้น ในตำรากล่าวถึงคนผู้หนึ่งที่คอยปกป้องมนุษย์ เฝ้าปกป้องมายุคแล้วยุคเล่า อีกทั้งบุคคลบางส่วนที่อยู่ในนั้นเหมือนจริงมาก แม้ว่าในตำราจะมีการพูดถึงที่คลุมเครือมาก ไม่ได้ชี้ชัดลงไป แต่ท่ามกลางความเลือนรางนี้ สามารถนำเอาบุคคลที่อยู่ในนั้นบางส่วนมาเทียบเคียงเข้ากับจอมราชันเซียนหวังของสิบสามทวีปได้
“นี่มันแค่เป็นนิทานเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ก็แค่หยิบยกเอาราชันเซียน และเซียนหวังบางคนมาเป็นต้นแบบ จับแพะชนแกะมัดรวมเข้าด้วยกัน เล่าถึงตำนานเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง”
ความจริงแล้ว ที่ผู้เขียนตำราเล่มนี้ต้องการจะเอ่ยถึงก็คืออีกาทมิฬนั่นเอง เพียงแต่เขาไม่กล้าเขียน ได้แต่แต่งเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง แล้วอาศัยตัวละครในนิทานไปสะท้อนถึงเรื่องราวบางอย่าง ดูไปแล้วคือสร้างขึ้น แต่บางอย่างกลับเป็นเรื่องจริง
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ” เย่ซินเสวี่ยที่เดิมมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามอยู่เจ็ดส่วน งดงามขลาดกลัวอยู่สามส่วน ถึงกับอดที่จะใช้เหตุผลเข้าโต้แย้งเต็มที่ เมื่อมีการเอ่ยถึงตำราที่ตนชื่นชอบมากที่สุด โดยกล่าวว่า “บุคคลบางส่วนที่อยู่ในตำราก็คือเหล่าราชันเซียนนั่นเองแหละ ไม่แน่นักอาจจะใช่ทั้งหมด ไม่แน่นักเบื้องหลังร้อยชาติพันธุ์พวกเรามีผู้ปกป้องคุ้มครองตลอดมา เพียงแต่พวกเราไม่รู้เท่านั้นเอง เดิมบนโลกใบนี้มีพระเจ้าช่วยชาวโลกอยู่แล้ว เพียงแต่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเราไม่สามารถสัมผัสได้เท่านั้นเอง”
“โลกนี้ไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลก” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า “ผู้คนบนโลกมนุษย์ต่างก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ถ้าหากหวังพึ่งแต่พระเจ้าช่วยโลกหละก็ สมควรอดตายทั้งเป็น”
“แต่ แต่ว่าต้องมีพระเจ้าช่วยโลกจริงๆ อย่างแน่นอน” แต่เดิมเย่ซินเสวี่ยที่ไม่ยอมโต้แย้งกับใคร ถึงกับอดที่จะพูดขึ้นมาว่า “ข้า ข้าเคยอ่านตำราโบราณเล่มหนึ่ง ได้บันทึกการศึกสงครามหนึ่งเอาไว้ ที่สิบสามทวีปนี้เคยระเบิดศึกขึ้นมาครั้งหนึ่งที่เรียกว่าศึกล่าราชัน เบื้องหลังของการศึกครั้งนี้ก็มีผู้จัดตั้งอยู่ผู้หนึ่ง เกรงว่าผู้ที่จัดตั้งศึกครั้งนี้ไม่แน่นักก็คือพระเจ้าผู้ช่วยโลก เหมือนเช่น ‘ตำนานเกี่ยวกับมนุษยชาติ’ เล่มนี้ที่ได้เขียนเอาไว้อย่างนั้น เบื้องหลังของมนุษย์มีเงาสายหนึ่งคอยปกป้องอยู่ ในยามคับขันเขาก็จะออกมาช่วยเหลือพวกเรา”
หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา เมื่อเห็นท่าทีของเย่ซินเสวี่ยที่ยกเหตุผลโต้แย้งกับตนเต็มที่ ในเวลานี้นับเป็นอะไรที่น่าสนใจ คนอื่นเอ่ยถึงตัวเขา เขากลับปฏิเสธการดำรงอยู่ของสิ่งนี้
“สิ่งนี่เป็นได้แค่บันทึก ไม่สามารถอาศัยความจริงไปยืนยันเรื่องนี้ได้จริงจัง” หลี่ชิเย่พูดขึ้นมาเรียบเฉย
เย่ซินเสวี่ยที่อาศัยเหตุผลโต้แย้งแต็มที่เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้แล้ว ความเร่าร้อนของนางเสมือนหนึ่งถูกน้ำเย็นราดลงบนศีรษะโดยพลันถึงกับห่อเหี่ยวลง แต่นางยังไม่ยอมแพ้ พูดเสียงอ่อยๆ ว่า “ความ ความจริงเรื่องที่บันทึกในนั้นเหมือนจริงมาก บางทีอาจสามารถตรวจสอบดูได้”
“เช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าไม่ลองไปตรวจสอบดูหละ?” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา
เวลานี้เย่ซินเสวี่ยดูจะห่อเหี่ยวไปบ้าง ท่าทีเหมือนมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้น นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ นางจึงได้พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “ข้า ข้า ข้าทำไม่ได้ เนื่องจากต้องเดินทางไกลมาก ต้องไปสถานที่หลายแห่งมาก”
ความจริงแล้ว ภายในใจของเย่ซินเสวี่ยรู้สึกให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งต่อตำนานของมนุษย์ชาติว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และนางอยากรู้นักว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ กระทั่งบางครั้งในใจของนางได้บังเกิดความรู้สึกอยากจะไปศึกษาสักครั้ง
ลองนึกภาพดู หากหญิงสาวคนหนึ่งไม่ยอมไปฝึกปรือให้จริงๆ จังๆ กลับหลงไหลไปกับเรื่องที่เลื่อนลอยถึงเพียงนี้ แล้วจะให้คนในครอบครัวของนางเห็นด้วยได้อย่างไรกัน? อีกอย่าง การที่จะไปตรวจสอบตำนานที่เลื่อนลอยเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องวิ่งไปทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งสิบสามทวีป สิ่งนี้จำเป็นต้องอาศัยศิลาขมุกขมัวจำนวนมากเป็นค่าเดินทางผ่านมิติ ซึ่งหาใช่หญิงสาวคนหนึ่งเช่นนางสามารถแบกรับได้ไหวอยู่แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...