“พี่ใหญ่หวัง อย่าได้พูดพล่อยๆ” เย่ซินเสวี่ยพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดจากชายผู้นั้น รีบกล่าวว่า “ท่านนี้คือคุณชายหลี่ อาจารย์คนใหม่ของเรือนตำราพวกเรา”
ชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของเย่ซินเสวี่ย เขาจ้องมองหลี่ชิเย่ที่ดูธรรมดามากตรงหน้าด้วยความงุนงง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรือนตำราของพวกเขาไม่เคยมีอาจารย์ เวลานี้กลับมีอาจารย์โผล่ออกมา นับว่าอยู่เหนือความคาดคิดของเขาเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าชายหนุ่มคือคนที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่คนหนึ่ง อีกทั้งดูไปแล้วงอายุของเขาจะแก่กว่าหลี่ชิเย่เสียอีก แต่ว่าเขาเป็นผู้ที่ให้ความเคารพต่อผู้เป็นอาจารย์ จึงรีบเดินเข้าไปหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับให้อย่างงาม และกล่าวว่า “ขออาจารย์อย่าได้ถือโทษ ข้าล้อเล่นกับนังหนูจนเคยชินแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ขึ้นมา ขออาจารย์ท่านโปรดอภัย”
แม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่คนหนึ่ง แต่ว่าเขายังนับว่ามีความจริงใจอย่างยิ่ง ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงพยักหน้ายอมรับการขอโทษของชายหนุ่มผู้มีร่างกายกำยำสูงใหญ่
“ศิษย์หวังจั๋วต้ง ฉายาแขนเหล็กห่วงทองคำ เข้ามาอยู่ในเรือนตำราได้หลายปีแล้ว วันหน้ายังต้องขอให้อาจารย์ได้โปรดชี้แนะและให้ความเอาใจใส่” ชายหนุ่มผู้มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ผู้นี้ดูมีความกระตือรือร้นยิ่ง รีบเร่งแนะนำตัวเอง และสวมกอดหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง
หลี่ชิเย่สังเกตตัวเขาอย่างละเอียดทีหนึ่ง ปฏิกิริยาเรียบเฉย กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เก็บของให้เรียบร้อย วันนี้เข้าเรียนคาบแรกเลยก็แล้วกัน”
แขนเหล็กห่วงทองคำเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วไม่กล้าทำชักช้า ไม่พูดพล่ามทำเพลง เก็บของของตนเรียบร้อยและติดตามหลี่ชิเย่ไปทันที
เรือนตำราเรียกได้ว่าเป็นทะเลตำรา หรือโลกแห่งตำรา ขอเพียงพบเห็นสถานที่ที่เป็นบ้าน และหรือที่ที่เป็นถ้ำก็จะมีตำราวางอยู่ กระทั่งใต้ก้อนหินจำนวนไม่น้อยก็มีสารพันตำราซ่อนเอาไว้ในนั้น
อีกทั้งตำราทั้งหมด รวมทั้งภาพวาดฝาผนัง รูปปั้นแกะสลักต่างๆ ล้วนแล้วแต่เปิดให้กับนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งสิ้น นักศึกษาใดๆ ล้วนแล้วแต่สามารถมาที่เรือนตำราเพื่อหาอ่านตำราได้ทุกเล่ม
เพียงแต่ว่านักศึกษาที่จะเข้ามาอ่านตำรานั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เหตุผลนั้นง่ายมาก จะมีนักศึกษาสักกี่คนที่ให้ความสนใจในตำราที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีกันเล่า กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว การมาค้นคว้าหาอ่านตำราเหล่านี้เป็นการเสียเวลาชัดๆ
“เหอะ ผู้เฒ่าหลิวมาหาตำราอีกแล้ว ตำราในเรือนตำรามีมากจนนับไม่ถ้วน เสมือนดั่งเป็นมหาสมุทรอย่างนั้น อย่าว่าแต่พวกเขาอ่านจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาเลย ต่อให้รั้งอยู่ที่นี่ชั่วชีวิตก็ไม่เห็นว่าจะอ่านตำราที่มีอยู่ในเรือนตำราได้หมด” ขณะที่เย่ซินเสวี่ยพาพวกของหลี่ชิเย่มาถึงวิหารที่มืดสลัวแห่งหนึ่งนั้น แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับยิ้มกล่าวขึ้นมา
โดยพื้นฐานเดิมเรือนตำราก็ไม่ค่อยมีนักศึกษามาอยู่แล้ว เรือนตำราขนาดใหญ่โตก็จะมีเพียงพวกของเย่ซินเสวี่ยเท่านั้น ดังนั้น วิหารใหญ่แห่งนี้ที่อยู่ตรงหน้าจึงดูเงียบสงัดเป็นพิเศษ แม้แต่ทั่วทั้งเรือนตำราก็เงียบสงัดเช่นกัน
ขณะที่พวกของหลี่ชิเย่เดินเข้าไปภายในวิหารแห่งนี้ สามารถได้ยินเสียงไอแค่ก แค่ก แค่กที่ดังออกมาเป็นระลอก โดยที่เสียงไอดังกล่าวได้ดังก้องอยู่ภายในวิหารใหญ่แห่งนี้เป็นเวลานาน เสียงไอที่ได้ยินเหมือนต้องการไอจนกระทั่งปอดหลุดออกมาทั้งยวงอย่างนั้น
วิหารแห่งนี้มีขนาดที่ใหญ่โตยิ่งนัก แต่ว่า สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาล้วนแล้วแต่เป็นตำราทั้งสิ้น ชั้นวางตำราจำนวนนับไม่ถ้วนวางเรียงรายสูงจดเพดานวิหารด้านบน ทุกๆ ชั้นวาง ทุกแถวล้วนเต็มไปด้วยตำรา ปรากฏกลิ่นตำราที่เหมือนขึ้นรา ซึ่งเป็นกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่มีใครเหมือนตลบอบอวลไปทั่ววิหารขนาดใหญ่แห่งนี้ เมื่อได้กลิ่นของตำราขึ้นราเช่นนี้แล้ว รู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลตำราอย่างนั้น
เดินทะลุผ่านชั้นวางตำราแต่ละแถวเข้าไป สุดท้าย ณ มุมหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปมากที่สุดของวิหารแห่งนี้ก็ได้พบร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งแล้วในที่สุด มองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางตะเกียงน้ำมันที่มืดสลัวเอาไว้ ไฟที่อยู่ในตะเกียงโอนเอนส่ายไปมาช้าๆ
แสงตะเกียงที่สาดส่องลงบนใบหน้าที่ออกเป็นสีเหลืองของผู้เฒ่าผู้นี้ ทำให้ดูเป็นสีเหลืองมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาพลิกหน้าตำราไปทีละหน้าๆ ท่ามกลางแสงจากตะเกียง ขณะที่มือของเขาพลิกตำราไป ปากก็พึมพำออกมาว่า “ม้ามทอง ม้ามทอง ม้ามทอง…”
อีกทั้งเขายังมักจะส่งเสียงไอออกมาเสมอๆ ทั้งยังไอรุนแรงมากเป็นพิเศษอีกด้วย เวลาที่ไอนั้น ร่างกายที่มีลักษณะหลังค่อมอยู่แล้วดู้จะโค้งงอมากขึ้นกว่าเดิมอีก
แม้ว่าในขณะนี้พวกของหลี่ชิเย่ได้เข้ามาถึงแล้ว แต่ว่าผู้เฒ่าได้ทุ่มเทมากเกินไป เรียกได้ว่าได้รวบรวมมั่นในสมาธิมากเหลือเกิน ยังคงไม่รู้สึกว่าพวกของหลี่ชิเย่ได้เข้ามาแล้ว
ผู้เฒ่าหลิว…หลังจากที่เดินเข้าใกล้แล้ว เย่ซินเสวี่ยได้ร้องเรียกขึ้นมา
ม้ามทอง ม้ามทอง ม้ามทอง…ผู้เฒ่าทุ่มเทสมาธิมากเหลือเกิน ยังคงไม่ได้ยินคำพูดของเย่ซินเสวี่ย และพลิกหน้าตำราในมือทีละหน้าๆ
“ถ้าหากเจ้าคิดจะหาตำราฝังเข็มศิลาหยกม้ามทองหละก็ เจ้าหาผิดที่เสียแล้ว” ในขณะที่ผู้เฒ่ากำลังมีสมาธิที่มุ่งมั่นอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้เอ่ยเฉยเมยขึ้นมา
ตุ๊บ…คำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งฟ้าผ่าลงมาอย่างนั้น ตำราเล่มนั้นที่อยู่ในมือหล่นลงพื้นทันที เขาลุกขึ้นแทบจะทันที ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่
“ผู้เฒ่าหลิว คืนสติกลับมา” จังหวะที่ผู้เฒ่าเหมือนถูกฟ้าผ่าเอานั้น เย่ซินเสวี่ยได้เดินเข้าไปหาและโบกไม้โบกมือตรงหน้าของเขา
“ท่าน ท่าน ท่านรู้ได้อย่างไร?” ผู้เฒ่าจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ กล่าวด้วยท่าทีที่ตกใจยิ่งนัก
“เรื่องที่อยู่ในเรือนตำรา มีรึที่ข้าจะไม่รู้?” หลี่ชิเย่พูดขึ้นมาด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่ากระไร?” หลังจากที่ผู้เฒ่าได้สติกลับมาแล้วร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง และเอ่ยขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...