“วิธีของหวังอ๋าวนับว่าไม่เลวนัก” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ตระกูลหวังของพวกเจ้าพร้อมที่จะเสื่อมลงได้ทุกเมื่อ กระทั่งถูกทำลายล้าง แต่ สถาบันศึกษาเทพเจ้ากลับยืนหยัดไม่มีล้ม การที่เขานำเอาเคล็ดวิชาลับของตนสลักเอาไว้ภายในเรือนตำราตรงไหนสักแห่ง อีกทั้งมีวิธีการที่มีเพียงลูกหลานที่เป็นชนรุ่นหลังเท่านั้นที่สามารถบรรลุถึงสลักเอาไว้ตรงนั้น นับว่าเป็นวิธีการที่ดีในการรักษาเคล็ดวิชาให้สืบทอดต่อไป นับว่าหวังอ๋าวเป็นผู้ที่มีความฉลาดรอบคอบโดยแท้”
“อาจารย์รู้จักกับบรรพบุรุษของข้าหรือ?” สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับแขนเหล็กห่วงทองคำเป็นอย่างยิ่ง อย่าได้มองว่าบรรดาอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังหนุ่มแน่น ไม่แน่นักล้วนแล้วแต่เป็นเฒ่าประหลาดทั้งสิ้น
หลี่ชิเย่อมยิ้มไม่ตอบคำถาม โบกมือเบาๆ และหลี่ชิเย่ “ไปเถอะ ไปที่ป่าหินสำนึกบุญคุณของเรือนตำรา ส่วนจะผ่านการทดสอบของบรรพบุรุษของเจ้าได้หรือไม่ สามารถบรรลุได้หรือไม่ต้องอาศัยตัวของเจ้าเองแล้ว”
แขนเหล็กห่วงทองคำรู้สึกงงงัน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาต้องการค้นหาเคล็ดวิชาที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ตลอดมา แต่ก็หาไม่พบ ดังนั้น เขาจึงได้จัดการพิมพ์คัดลอกเอาภาพวาดฝาผนัง ตัวอักษรต่างๆ ที่มีอยู่ในป่าหิน หวังจะนำกลับไปค่อยๆ ศึกษาอีกที ไม่นึกไม่ฝันว่าเวลานี้กลับได้รับการชี้ทางสว่างจากหลี่ชิเย่
ขอบคุณอาจารย์…มาคราวนี้แขนเหล็กห่วงทองคำสยบทั้งกายใจ หมอบกราบลงกับพื้น โขกศรีษะให้กับหลี่ชิเย่อย่างเคารพนบนอบสามครั้ง จึงได้จากไป
หลังจากที่แขนเหล็กห่วงทองคำจากไปแล้ว หลิวจินเซิ่นยืนอยู่ด้านนอกครู่ใหญ่ สุดท้ายยังคงก้าวเท้าเข้าไปยังตำหนักใหญ่ เขาทำการโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ แล้วจึงค่อยนั่งลงเงียบๆ
“ด้วยเรื่องของ ‘ตำราฝังเข็มศิลาหยกม้ามทอง‘ ข้าจึงมาอยู่ที่เรือนตำรา” หลังจากที่หลิวจินเซิ่นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จึงได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“เรื่องนี้ข้ารู้ เจ้าต้องการมัน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ข้าแค่ต้องการพูดว่า เจ้าที่เป็นถึงระดับจอมเทพคนหนึ่งแทรกซึมเข้ามาในเรือนตำราแห่งนี้ บรรดาตาเฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าสายตาฝ้าฟางดูไม่ออก หรือเป็นอะไรกันไปแล้ว”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาภายในใจของหลิวจินเซิ่นสะเทือนหวั่นไหว เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองส่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันใด แต่ก็หายไปในทันที กลับคืนสู่สภาพที่แก่ชรา ทั้งยังอดส่งเสียงไอออกมาสองคำไม่ได้
“หากเปลี่ยนเป็นตัวข้า หากมีใครหาญกล้าคิดไม่ซื่อต่อพื้นที่ของข้า หรือสอดแนมอะไรทำนองนั้นหละก็” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “ข้าจะให้เขาตายอย่างทุเรศที่สุด อย่าว่าแต่เป็นระดับจอมเทพที่ดุร้ายปราศจากผู้เทียบเทียมเลย ต่อให้เป็นเทพโบราณข้าก็จะบีบเขาให้ตายด้วยมือของข้าเอง!”
ลักษณะคำพูดที่พาลเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้หลิวจินเซิ่นรู้สึกสะท้านภายในใจ เขาได้ยกระดับการป้องกันขึ้นมาทันที กลายเป็นระแวดระวังตัวสุดเปรียบเปรย!
แม้ว่าหลิวจินเซิ่นจะเป็นระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง แต่ เขารู้ตัวดีว่าตนเองนั้นอยู่ที่ใด ที่นี่คือสถาบันศึกษาเทพเจ้า คือที่ที่มังกรเร้นกายพยัคฆ์หมอบ เขามีความเข้าใจดีในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ หากสถาบันศึกษาเทพเจ้าต้องการสังหารเขา เกรงว่าเขาคงทำอะไรไม่ได้มากนัก
อย่าว่าแต่ระดับจอมเทพเช่นเขาเลย ต่อให้เป็นราชันเซียนมาด้วยตนเองและกล้าทำกำเริบเสิบสานในสถาบันศึกษาเทพเจ้า เกรงว่าอาจถูกสังหารได้ การที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าสามารถยืนหยัดไม่ล้มลงจนถึงวันนี้ได้ คงไม่เป็นเพราะปัจจัยภายนอกเท่านั้น ที่สำคัญมากไปกว่านี้ก็คือ ตัวของมันเองมีความแข็งแกร่งยิ่งนักอยู่แล้ว
“ถ้าหากข้าจะสังหารเจ้า คงไม่ให้เจ้ามีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับข้าอยู่ตรงหน้า” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
หลิวจินเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้าย สลายการป้องกันของตนเสีย จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ดูเหมือนไม่มีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับเขา
หลิวจินเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่อย่างงาม เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ศิษย์โง่เขลา ใบไม้ใบเดียวบังตา มีตาหามีแววไม่ ไม่ทราบว่าอาจารย์เป็นผู้สูงส่งท่านใด ขออาจารย์ชี้แนะด้วย”
“ข้าเป็นใครนั้นมันไม่สำคัญ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ข้าแค่ต้องการให้เจ้ารู้ว่า มีข้าอยู่ที่นี่หากเป็นมังกรก็จงขดตัวเอาไว้ เป็นพยัคฆ์จงหมอบเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม หากเจ้าคิดจะทำอะไรหละก็ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเข้าใจว่า อะไรที่เขาเรียกว่าตายทั้งเป็น”
หลิวจินเซิ่นถือเป็นระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งมาก มีประวัติความเป็นมาที่น่าเกรงขามยิ่ง อาศัยนิสัยในอดีตของเขาคงล้มโต๊ะแล้ว แต่ทว่าในเวลานี้เขาถึงกับนิ่งเงียบ
“ศิษย์เพียงมาด้วยเรื่องรักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด และไม่ได้คิดร้ายต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้า” หลิวจินเซิ่นโค้งคำนับแสดงคารวะอีกครั้ง และกล่าวว่า “หากอาจารย์ไม่เชื่อ ข้าสามารถสาบาน ณ ที่ตรงนี้”
“เอาเถอะ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง” หลี่ชิเย่เพียงพยักหน้าช้าๆ
หลิวจินเซิ่นจึงรู้สึกว่าหายใจโล่งอกขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งเช่นเขา ชั่วชีวิตของเขาเกรงกลัวอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น อย่าว่าแต่ระดับจอมเทพเลย ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังเขาก็เคยพบและกระทั่งเคยปะมือมาแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ กลับสร้างความกดดันให้เขาได้มากเหลือเกิน
ต่อให้หลี่ชิเย่นั้นแลดูเรียบเฉย และธรรมดายิ่งนัก แต่ว่าแค่การนั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้สร้างความกดดันให้เขาได้มากมาย ในฐานะที่เป็นถึงระดับจอมเทพ ลางสังหรณ์บอกเขาว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าอันตรายยิ่งนัก แม้ว่าขณะนี้ดูไปแล้วไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่เมื่อไรที่เขาเผยให้เห็นเขี้ยวเล็บล่ะก็ เกรงว่าสามารถจัดการถลกหนังกลืนกินได้เป็นๆ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ดำรงอยู่ในสถานะเช่นใดก็ตาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...