“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูรูปแกะสลักของเซียนหวังสองประสาน เอ่ยขึ้นช้าๆ แล้วเดินเข้าไปยังเมืองตำรา
พวกเของเย่ซินเสวี่ยเมื่อได้สติกลับมา รีบเดินตามเข้าไปยังเมืองตำรา
ในขณะนี้เมืองตำรามีความคึกครื้นมาก ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไหล่กระทบกันเออัดยัดเยียดเป็นที่คึกคักยิ่งนัก อีกทั้งผู้คนที่มายังเมืองตำรามีมากหน้าหลายตา มีทั้งชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น และมีนักศึกษาที่มาจากทั่วทุกสารทิศ
แน่นอนที่สุด ที่คึกคักมากกว่าคือบรรดานักศึกษาที่มาจากศตาคาร หอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชัน บรรดาเหล่านักศึกษาเหล่านี้ได้ทยอยกันทะลักเข้ามายังเมืองตำรา ร้องทักทายเรียกหาเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน มากันเป็นกลุ่มเป็นก้อน บรรยากาศเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉง เป็นที่คึกครื้นยิ่งนัก
หลายวันมานี้ ทางเมืองตำราจัดให้มีมหกรรมชิมชาขึ้นมา แน่นอนที่สุด มหกรรมชิมชาไม่ได้หมายถึงให้บรรดานักศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างคนต่างมานั่งลงดื่มชาคุยสัพเพเหระกันแค่นั้น
มหกรรมชิมชาที่ว่านี้นอกจากให้บรรดานักศึกษาจากชั้นเรียนต่างๆ ถือโอกาสช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ๆ ได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน เป็นการขยายฐานมนุษย์สัมพันธ์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันที่ขาดไม่ได้ก็คือการทดสอบแลกเปลี่ยนฝีมือซึ่งกันและกัน
แน่นอนที่สุด นักศึกษาแต่ละชั้นเรียนก็สามารถมานั่งลงดื่มน้ำชา สนทนาเต๋าและหรือถ่ายทอดประสบการณ์การฝึกบางอย่างของตน เพียงแต่เรื่องแบบนี้จะพบเห็นได้ยาก
เมืองตำรามีขนาดใหญ่โตมาก เชื่อมถึงกันได้ทุกทิศทุกทาง ในขณะนี้บนถนนที่กว้างขวางของเมืองตำราคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา หลังจากที่นักศึกษาจำนวนมากได้ทะลักเข้ามาแล้ว มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ร้องทักทายเพื่อนฝูงกัน แต่ก็มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่เขม่นหน้ากันพลันที่พบเจอ
จะอย่างไรเสีย ที่ที่มีคนที่นั่นก็จะต้องมีความวุ่นวายมีความขัดแย้ง เฉกเช่นสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่เป็นสถานที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ก็ไม่พ้นเรื่องการแก่งแย่งและบุญคุณความแค้นต่างๆ นักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ก่อเกิดศัตรูคู่อาฆาตขึ้นที่สถาบันศึกษาแห่งนี้
“เพื่อนเมี่ยวมาแล้ว” ในเวลานี้ ขณะที่พวกของหลี่ชิเย่เดินผ่านถนนสายโบราณนั้น ปรากฎนักศึกษากลุ่มหนึ่งร้องออกมาด้วยความดีใจ
ในเวลานี้ นักศึกษากลุ่มหนึ่งของศตาคารได้วิ่งกรูกันไปยังปลายถนนของถนนสายโบราณ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินพลิ้วไหวเข้ามา นางมาเพียงลำพังคนเดียวโดยไม่มีใครเดินมาเป็นเพื่อน นางสวมชุดเรียบง่ายธรรมดา ไม่ทำตัวเป็นที่โดดเด่น
แต่ทว่าผู้หญิงเช่นนางไม่ว่าจะก้าวเดินไปยังที่ใดคิดจะไม่โดดเด่นก็คงยาก คุณสมบัติประจำตัวที่ดูสูงส่งสุภาพเยือกเย็นนั้นได้ลิขิตให้นางไม่สามารถค่อมต่ำได้ ไม่ว่าจะปรากฎตัวที่ใดก็เหมือนดั่งกระเรียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงระกาอย่างนั้น
เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรดานักศึกษาของชั้นศตาคารก็จัดการล้อมหน้าล้อมหลังผู้หญิงคนนี้เอาไว้ ดั่งดาวล้อมเดือนอย่างนั้น
“รุ่นพี่เมี่ยว งานมหากรรมชิมขาในครั้งนี้ ต้องอาศัยท่านมาเปล่งประกายให้กับชั้นศตาคารของพวกเรา เอาชนะชั้นหอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชัน มีเพียงรุ่นพี่และยุวกษัตริย์ที่สามารถทำได้แล้ว” ในเวลานี้ บรรดานักศึกษาจากชั้นศตาคารที่ดุจดาวล้อมเดือนต่างแย่งกันพูด
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พวกเราศตาคารยกให้รุ่นพี่เมี่ยวฉานและยุวกษัตริย์เป็นผู้นำ รุ่นพี่ร่วมมือกับยุวกษัตริย์ต้องสามารถส่งประกายเจิดจ้าในงานมหกรรมชิมชาอย่างแน่นอน ไม่แน่นักสามารถเอาชนะหอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชันได้นะ” นักศึกษาจำนวนไม่น้อยต่างพูดคล้อยตามเป็นทางเดียวกัน
ผู้หญิงคนนี้คือสตรีผู้สูงศักดิ์ของศตาคารนามเมี่ยวฉานนั่นเอง นางนับว่ามีชื่อเสียงมากในศตาคาร ได้รับการรักใคร่เทิดทูนจากนักศึกษาในศตาคารเป็นอันมาก มีฐานะที่สูงส่งมากในหมู่นักศึกษาด้วยกัน
สำหรับคำยกย่องของบรรดานักศึกษาจากศตาคารนั้น ตัวเมี่ยวฉานเองเพียงตอบทักทายด้วยความถ่อมตนยิ่งไม่กี่คำ ไม่ได้กล่าววาจาที่แสดงความฮึกเหิมออกมา
“เป็นเมี่ยวฉานนี่เอง” เย่ซินเสวี่ยถึงกับอุทานออกมาเมื่อมองเห็นเมี่ยวฉานแต่ไกล และกล่าวว่า “ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมมากของศตาคาร ได้ยินว่าสติปัญญากว้างขวางดั่งทะเล เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมมองการณ์ไกล เป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษาทุกคนในศตาคาร สถาบันศึกษาเทพเจ้ารุ่นนี้ของพวกเรามีสตรีที่โดดเด่นอยู่สามคนด้วยกัน คือ เมี่ยวฉานแห่งศตาคาร เมี่ยวเสวี่ยแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และเหมยซู่เหยาแห่งหอราชัน”
“ข้าเคยพบเห็นเหมยซู่เหยามาแล้ว เสมือนดั่งเทพธิดา บุคลิกลักษณะของนางสามารถเทียบเคียงกับอาจารย์เชียนเสวียนได้แล้ว” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับชมเปาะขึ้นมา
ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำพูดถึงอวี่เชียนเสวียนเย่ซินเสวี่ยถึงกับแอบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง เนื่องจากตอนที่หลี่ชิเย่มาถึงใหม่ๆ นั้นดูอวี่เชียนเสวียนจะให้ความเคารพต่อหลี่ชิเย่อย่างยิ่ง
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ สำหรับคำพูดของเย่ซินเสวี่ย และแขนเหล็กห่วงทองคำ เขาจ้องมองดูเมี่ยวฉาน แม้ว่าครั้นนั้นเขาจะไม่เคยได้พบกับเมี่ยวฉานขณะอยู่ที่แดนสมุนไพรแร่ธาตุ แต่กลับเคยได้ยินหมิงเย่เสวี่ยเอ่ยถึงเมี่ยวฉานมาก่อน
ครั้นนั้นหมิงเย่เสวี่ยเคยบอกกับเขาว่า ในแดนสมุนไพรแร่ธาตุคนที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดไม่ใช่รัชทายาทจินอู และก็ไม่ใช่เย่ชินเฉิน แต่เป็นเมี่ยวฉาน ดังนั้น เวลานี้เมี่ยวฉานมาถึงแดนสิบแล้ว ทำให้หลี่ชิเย่มีความสนใจอยู่หลายส่วนทีเดียว
แม้ว่าครั้งนั้นขณะอยู่ที่เก้าแดน เขาได้ทำการกระทุ้งกำแพงกั้นเขตแดนที่เชื่อมไปยังแดนที่สิบจนแตก ปรากฏเป็นทางขึ้นมาสายหนึ่ง แต่การที่จะจากเก้าแดนเชื่อมไปยังแดนที่สิบก็หาใช่เป็นเรื่องที่ง่ายดาย
“รุ่นน้องเมี่ยวในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว” ขณะที่เมี่ยวฉานอยู่ท่ามกลางดาวล้อมเดือนจากนักศึกษาของศตาคารจำนวนมากอยู่นั้น ได้ยินเสียงตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งของศตาคารก็ทยอยมาถึง
นักศึกษาชายกลุ่มนี้มีพลังที่น่าเกรงขามยิ่ง เกือบทุกคนล้วนแล้วแต่มีลักษณัท่าทางที่ฮึกเหิมและลำพองใจ นักศึกษาชายเหล่านี้หากไม่ใช่สวมใส่ชุดเกราะก็คือห้อยอาวุธวิเศษที่เอว แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีท่าทีที่ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้ที่พบเห็นบรรดากลุ่มนักศึกษาเหล่านี้แล้วรู้ได้ทันทีว่าหากไม่เป็นผู้มีฐานะร่ำรวยก็คือผู้มีฐานะสูงส่ง น่าจะมาจากแคว้นหรือสำนักเจ้าลัทธิทั้งสิ้น
อีกทั้งผู้ที่เป็นผู้นำของนักศึกษากลุ่มนี้ยิ่งมีลักษณะบุคลิกท่าทีที่ไม่ธรรมดา โดยที่นักศึกษาชายผู้นี้มีความสง่าผ่าเผยเสมือนดั่งต้นไม้หยก รูปงามใจถึง บนหลังสะพายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้หกเล่ม กระบี่ทุกเล่มล้วนแล้วแต่ส่งประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบที่แตกต่างกันออกมา กลิ่นอายกระบี่ผาดโผน ทำให้ผู้พบเห็นถูกพลังของเขาสยบ ต้องออกห่างด้วยความเคารพ
“ยุวกษัตริย์มาแล้ว” ทันทีที่มองเห็นการมาของนักศึกษาชายผู้นี้ ปรากฏมีนักศึกษาหญิงวิ่งกรูกันเข้าไปไม่น้อย ท่าทีเร่าร้อนอย่างยิ่ง นัยน์ตาของพวกนางแสดงออกถึงความสมัครรักใคร่ล้วนไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นความรักใคร่ชื่นชมของตนเอาไว้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...