“เป็นความจริงรึ?” เวลานี้ ท่าทีป้าหู่ที่มองดูหลี่ชิเย่เหมือนจะรอไม่ไหวแล้ว จะอย่างไรเสียมันคือสิ่งที่พวกเขาค้นหามาเป็นเวลานับไม่ถ้วน พวกเขาเคยย่ำไปเจ็ดย่านน้ำมา แต่ก็ค้นหาสิ่งนี้ไม่พบ
หลี่ชิเย่หัวเราะและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเคยพูดโกหกใครตั้งแต่เมื่อไร ในเมื่อข้ารับปากพวกเจ้าก็ต้องสามารถทำให้เป็นจริงได้”
หวงหลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ เขาลุกขึ้นและโค้งคารวะอย่างสุดซึ้ง และกล่าวว่า “ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะ สิ่งของสิ่งนี้มีความสำคัญยิ่งต่อเผ่าทั้งสองเผ่าของพวกเรา”
เมื่อป้าหู่เห็นหวงหลงแสดงคารวะเต็มรูปแบบก็ลุกขึ้นตาม แสดงคารวะแล้วกล่าวว่า “ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะทางสว่าง บุญคุณเช่นนี้ของใต้เท้าหนักยิ่งกว่าเขาไท่ซัวสำหรับเผ่าสองเผ่าพวกเรา!”
ในอดีต บางทีหวงหลงและป้าหู่สองคนจะมากหรือน้อยบ้างก็ยังคงมีท่าทีอวดดีถือตัวอยู่บ้าง จะอย่างไรเสียพวกเขาคือผู้ที่ตกจากสิบสามทวีปลงมายังเก้าแดน ไม่ว่าจะด้านศักยภาพหรือฐานะ ล้วนแล้วแต่สมควรที่พวกเขาได้หยิ่งทะนงตน
แต่ทว่า มาวันนี้หลังจากได้เห็นธาตุแท้ภายในที่แท้จริงของหลี่ชิเย่แล้ว พวกเขาจึงได้เข้าใจถึงความน่ากลัวของอีกาทมิฬอย่างแท้จริง แม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายก็ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าของเขา การที่พวกเขาแสดงความเคารพต่อหลี่ชิเย่นับเป็นเรื่องสมควรแล้ว
หลี่ชิเย่ทำมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขานั่งลง กล่าวเฉยเมยว่า “วางใจเถอะ สิ่งที่ข้ารับปากพวกเจ้าก็ต้องชี้ทางสว่างให้อยู่แล้ว แต่ว่า สามารถได้มาหรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับโชควาสนาของตนแล้ว”
“ใต้เท้าสามารถชี้ทางสว่างให้กับพวกเรา มันก็คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสองเผ่าพวกเราแล้ว” หวงหลงรีบกล่าวขึ้น
เทียบกับป้าหู่ที่มีลักษณะพาลแล้ว หวงหลงดูจะเป็นผู้มีความรู้ลุ่มลึก บุคลิกลักษณะสง่างามและมีน้ำเสียงที่ซื่อตรงอ่อนโยนยิ่งกว่า
หลี่ชิเย่มองดูหวงหลงและป้าหู่ยิ้มนิดหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ของมีอยู่แค่ชิ้นเดียว พวกเจ้าคิดจะจัดการอย่างไร? หรือจะให้เหมือนเช่นครั้งนั้น เพื่อแย่งชิงของสิ่งหนึ่งทั้งสองถึงกับต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งอย่างนั้นรึ?”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำเอาหวงหลงและป้าหู่สองคนถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ ท่าทีดูผะอืดผะอมอยู่หลายส่วน ครั้งนั้นที่พวกเขาต้องตกลงสู่เก้าแดนก็เพราะแย่งชิงของวิเศษที่ที่เป็นหนึ่งเดียวในหล้า จนเกิดเหตุไม่คาดฝันตกลงสู่เก้าแดน แล้วถูกขังเอาไว้อยู่ตรงนั้น
หลังจากที่หวงหลงและป้าหู่หัวเราะเจื่อนๆ แล้ว พวกเขาทั้งสองมองตากันและกัน สุดท้าป้าหู่ได้พูดขึ้นมาว่า “ไม่ขอปิดบังใต้เท้า พวกเรามีแนวความคิดหนึ่ง พวกเราทั้งสองเผ่าหวังจะบ่มเพาะคนผู้หนึ่ง เป็นสุดยอดต้นกล้าที่มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้า หวังว่าสันติพภาพของทั้งสองเผ่าในอนาคตจะอยู่บนตัวของคนผู้นี้”
“นับเป็นแนวความคิดที่ไม่เลวนัก” หลี่ชิเย่พยักหน้าช้าๆ และกล่าวชื่นชมว่า “ในอนาคตพวกเจ้าสองเผ่าหากไม่เข่นฆ่ากันเองจะต้องเป็นผู้ที่ทำอะไรได้มาก ต้องเปล่งประกายที่เจิดจ้าแน่นอน”
หวงหลงและป้าหู่พวกเขาทั้งสองเผ่านับว่าได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์เป็นพิเศษ พวกเขามีความแข็งแกร่งยิ่งนัก เพียงแต่พวกเขาทั้งสองเผ่าเสมือนดั่งน้ำกับไฟตลอดมา และมีการเข่นฆ่ากันเองมาโดยตลอด จึงทำให้พลังทั้งสองเผ่าถูกบั่นทอนลงไปมาก ชื่อเสียงในสิบสามทวีปของพวกเขาไม่สมกับศักยภาพที่มีของพวกเขาเอง
“เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน” สุดท้าย หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ สั่งการกับหวงหลงและป้าหู่ว่า “พวกเราจะออกเดินทางในไม่ช้า หวังว่าจะได้รับสิ่งนี้มา”
หวงหลงและป้าหู่เรียกได้ว่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่อย่างสุดซึ้งอีกครั้ง แล้วจึงจากไป
หลังจากที่หวงหลงและป้าหู่จากไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้ทำการปิดกั้นช่องว่างและหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมาจากลัคนา พริบตาเดียวนั่นเอง ผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองได้รวมตัวกลายเป็นร่างเงาที่มีทรวดทรงองค์เอวที่พริ้วไหวร่างหนึ่ง
เวลานี้ ร่างเงานี้กลับกลายเป็นชัดเจนยิ่งนัก สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสุดยอดหญิงงามที่มีความงดงามเป็นหนึ่งในหล้า กล่าวได้ว่า ขอเพียงมีหญิงผู้นี้ปรากฏในหล้าต้องทำให้สุริยันจันทราแลดวงดาวสลดและอับแสงอย่างแน่นอน หากจะพูดถึงด้านความงาม เกรงว่าแม้แต่อวี่เชียนเสวียนก็สู้นางไม่ได้
ในอดีต ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองทำได้แค่รวบรวมจนกลายเป็นร่างเงาที่เลือนรางเท่านั้น เหมือนเป็นภาพวาดน้ำหมึกที่ไร้สีสัน เวลานี้เหมือนเป็นภาพของชนชั้นศักดินามากกว่า
การที่ผู้หญิงที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองสามารถรวบรวมเป็นร่างเงาเช่นนี้ได้ เป็นเพราะผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองถูกแช่อยู่ในขวดหยกพิสุทธิ์นั่นเอง
“นี่ นี่ นี่ เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร? ข้าเรียกเจ้าตั้งนานถึงกับไม่มีปฏิกิริยาตอบแม้แต่น้อย!” หลังจากที่นังหนูน้อยที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองพลันรวมตัวเป็นร่างเงาได้แล้ว ก็มีท่าทีที่ดุร้ายต่อหลี่ชิเย่ทันที เหมือนต้องการต่อว่าต่อขานเป็นการใหญ่อย่างนั้น
หลี่ชิเย่กลับไม่รู้สึกเร่งรีบสำหรับท่าทีที่ต่อว่าต่อขานเป็นการใหญ่ของนังหนูน้อย ดูจะเอ้อระเหยเป็นพิเศษ ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “อันดับแรก ข้าไม่ได้ชื่อว่านี่ ข้ามีชื่อนะ ชื่อของข้าคือหลี่ชิเย่”
“ฮึ ฮึ ฮึข้ารู้ว่าเจ้ามีชื่อว่าหลี่ชิเย่ ข้าเรียกเจ้าตั้งนาน ทำไมเจ้าจึงไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย!” ท่าทางของนังหนูไร้เดียงสาที่ดูเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้น
ความจริงแล้ว ขณะที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเกิดภัยพิบัติตอนนั้น นังหนู่น้อยก็เรียกหาหลี่ชิเย่ตลอดมา เพียงแต่หลี่ชิเย่ไม่สนใจนางเท่านั้นเอง จับนางขังเอาไว้
“ขอโทษที ข้ามีธุระเร่งด่วนนิดหน่อย ไหนๆ เจ้าก็มีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว เวลานี้ข้าก็ได้ปล่อยเจ้าออกมาแล้วมิใช่รึ?” หลี่ชิเย่อมยิ้มแล้วพูดขึ้นมา
นังหนูน้อยกำลังจะอาละวาด แต่ว่าจะอย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ควบคุมอารมณ์ให้เป็นปรกติ สุดท้าย เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สถานที่แห่งนี้แหละ นี่แหละคือสถานที่ที่พวกเราต้องการค้นหา!”
“ที่เจ้าพูดถึงนั้นหมายถึงโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้รึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ไม่รู้สึกเหนือความคาดคิดแม้แต่น้อย
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเรียกมันว่าอะไร แต่ว่า ในอดีตพวกเราไม่ได้เรียกชื่อแบบนี้” นังหนูน้อยกล่าวขึ้นช้าๆ “ที่ตรงนี้แหละ สถานที่แห่งนี้สามารถทำให้ข้าได้เห็นเดือนเห็นตะวันได้อีกครั้ง!”
หลี่ชิเย่เอามือลูบคาง ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิดหละก็ โลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้ไม่ถือเป็นโลกของเจ้า และไม่อยู่ในยุคสมัยของเจ้า อาจกล่าวได้ว่ามันเก่าแก่ยิ่งกว่ายุคสมัยของเจ้าเสียอีก!”
“ข้ารู้” นังหนูน้อยกล่าวว่า “เป็นความจริงที่มันไม่นับว่าอยู่ในโลกนี้ แต่ บิดาของข้าเคยค้นพบมัน เพียงแต่ยังไม่เคยไปพัฒนามันเท่านั้นเอง มันยังคงรักษาอยู่ในสภาพเดิม!”
“ข้าเข้าใจแล้วหละ” ท่าทีของหลี่ชิเย่เหมือนเข้าใจทุกอย่าง และกล่าวว่า “แม้ว่าบิดาของเจ้าไม่ได้ทำการพัฒนามัน และไม่ได้เปลี่ยนแปลงมัน แต่กลับคงทางหนีทีไล่เอาไว้ที่นี่ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝัน เป็นต้นว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาถูกคนลอบปองร้าย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...