หลี่ชิเย่ได้จากไป เมื่อสถาบันศึกษาเทพเจ้ากลับคืนสู่ทวีปเจียวเหิงโจวอีกครั้ง เนื่องจากเขาต้องการไปพบสหายเก่าสักหน่อย
ในสถานที่แห่งหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่กว้างขวางใหญ่โตและไม่มีใครทราบ มีเรือรบขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่งลำหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น เรือรบที่จอดอยู่ลำนี้เสมือนดั่งเป็นผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ลอยอยู่ตรงนั้น ภาพที่เห็นคือบนเรือมีภูเขาที่ขึ้นลงสลับ แม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล เหมือนเป็นโลกๆ หนึ่งที่เป็นเอกเทศ
มันคือเรือรบขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นโดยหลี่ชิเย่ พวกของราชันทักษิณเดินทางมาที่แดนสิบก็ด้วยเรือยักษ์ลำนี้แหละ
“คุณชายกลับมาแล้ว…” คนที่อยู่บนเรือรบยักษ์ต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อหลี่ชิเย่กลับมาถึง ผู้คนจำนวนมากวิ่งกรูกันออกมาต้อนรับการกลับมาของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ปลอดภัย แน่นอน นับว่าหลี่ชิเย่วางใจยิ่งขณะที่เรือรบขนาดยักษ์ลำนี้มายังแดนสิบ นอกจากมีหวงหลงและป้าหู่คอยคุ้มกันแล้ว ยังมีพวกเทพมารวัวโลหิตที่เป็นกำลังหลัก
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยังมีราชันเซียนในแดนสิบคอยให้การรับรอง ขอเพียงเรือรบขนาดยักษ์สามารถขึ้นมาถึงแดนสิบได้ ต่อให้มีจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าลอบโจมตีก็ไม่ต้องหวาดกลัวแต่อย่างใด
“คุณชาย…” หลังจากที่ได้พบกับหลี่ชิเย่ ที่ดูตื่นเต้นมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลี่ซวงเหยียนและเฉินเป่าเจียวแล้ว พวกนางวิ่งเข้าไปเป็นคนแรก และสวมกอดกับหลี่ชิเย่หลังจากที่จากกันมานาน กล่าวสำหรับในความคิดของพวกนาง ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าหลี่ชิเย่อีกแล้ว
หลี่ชิเย่เองก็สวมกอดกับพวกนางอย่างลึกซึ้ง ยังคงเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอะไรเช่นนั้น กับการได้พบกันอีกครั้งหลังจากที่จากกันมานาน!
หลี่ชิเย่สวมกอดกับพวกเขาเหล่านั้นเมื่อได้พบกันอีกครั้งหลังแยกจากกัน หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมาเมื่อมองเห็นต้นบรรพบุรุษพันสน และกล่าวว่า “ดูท่าทักษะยุทธของท่านได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแล้ว”
“ต้องขอบคุณคุณชายที่ชี้แนะ ข้าคิดว่าจะฝึกปรืออีกครั้ง ถือโอกาสคราวนี้สร้างดวงตราสัญลักษณ์ขึ้นมาเพื่อเป็นจอมเทพ” ต้นบรรพบุรุษพันสนหัวเราะและเอ่ยขึ้นมา
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ท่านคือปีศาจต้นไม้ ไม่จำเป็นต้องก้าวไปบนเส้นทางสายนี้เสมอไป”
“นั่นสิ ข้าก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องกลายเป็นจอมราชันเซียนหวัง หรือจอมเทพ ข้าเองก็ส่องพบเส้นทางสายหนึ่งแล้ว” หลงจิงเซียนกล่าวด้วยท่าทีที่ทระนงตนยิ่งนัก
หลี่ชิเย่ตบเข้าให้ที่ท้ายทอยของนางทีหนึ่ง หัวเราะเยาะและดุว่า “เจ้ามีสิบสองลัคนาแล้วไม่ไปตามล่าชะตาฟ้า ช่างเป็นการสิ้นเปลืองพรสวรรค์ของเจ้าเสียเหลือเกิน ในอนาคตเจ้ามีโอกาสได้กลายเป็นผู้ที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย”
“เชอะ ใครบอกว่ามีชะตาฟ้าสิบสองสายแล้วก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว ข้าพบเส้นทางสายหนึ่ง กำลังพิจารณาว่าจะร่วมฝึกกับอู๋ซวงหรือไม่ รอให้เคล็ดวิชาธนูสองประสานสำเร็จแล้ว ต้องสังหารจอมราชันเซียนหวังชะตาฟ้าสิบสองสายได้อย่างแน่นอน” เมื่อหลงจิงเซียนกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วเชิดศีรษะขึ้นอย่างทระนง
หลงจิงเซียนมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่มีแต่อัจฉริยะบุคคลปรากฎมากมายอย่างสิบสามทวีป นางยังคงมีความได้เปรียบอย่างเด็ดขาด นางซึ่งมีชะตาเซียน หากว่ากันด้วยเรื่องของพรสวรรค์แล้ว นางสามารถบดขยี้ทุกๆ คนไม่ว่าใครก็ตามได้อย่างแน่นอน แม้แต่กับยอดอัจฉริยะบุคคลที่มีเลือดเซียน หลงจิงเซียนยังคงสามารถหยิ่งทระนงได้เหมือนเดิม!
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวที่มีก็คือ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนังหนูผู้นี้ยังไม่แกร่งพอ ถ้าหากนางมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเฉกเช่นเหมยซู่เหยา หมิงเย่เสวี่ยล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถขวางไม่ให้นางได้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายได้!
“อวดอ้างให้น้อยๆ หน่อย พยายามฝึกปรือเข้า ด้วยพรสวรรค์ระดับเช่นนี้หากไม่สามารถฝึกจนถึงระดับชั้นชะตาฟ้าสิบสองสายล่ะก็ คอยดูว่าข้าจะถลกหนังของเจ้าออกมาหรือไม่” หลี่ชิเย่กล่าวเยาะเย้ยและดุด่าพร้อมกับหนึ่งฝ่ามือซัดเข้าให้ที่ศีรษะของนาง
“ฮึ ใครบอกว่าจะต้องสืบทอดชะตาฟ้าสิบสองสายเสมอไป เวลานี้ข้ามีวิธีหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องสืบทอดชะตาฟ้า แต่ก็ฝืนลิขิตสวรรค์ได้อย่างยอดเยี่ยม” หลงจิงเซียนกล่าวขึ้นมาอย่างทระนง
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมากับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลงจิงเซียน เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะดูแคลนในตัวของหลงจิงเซียน ถ้าหากนางเอาจริงเอาจังขึ้นมาล่ะก็ นับว่าน่ากลัวยิ่งโดยแท้จริง ซึ่งสิ่งนี้บ่งบอกถึงนางที่มีพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น พรสวรรค์ลักษณะเช่นนี้เกรงว่าคงมีผู้แซงล้ำนางได้ยากนัก!
หลี่ชิเย่หลังจากกลับมายังเรือรบขนาดยักษ์ ได้เห็นพวกของเทพมารวัวโลหิต เฒ่าเซียนของวิหารเทพสงคราม หลี่ชิเย่ถึงกับต้องสังเกตพวกเขาอย่างละเอียดเมื่อได้เห็นพวกเขา และกล่าวว่า “ดูท่าพวกเจ้าเหมือนได้มีการเปลี่ยนโฉมใหม่คล้ายหนุ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ใช่เป็นการล้อเล่น เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว พวกของเทพมารวัวโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ เหมือนว่าพลังลมปราณจะคึกคักมีชีวิตชีวากว่าเดิม และอายุอ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย
“พลังแก่นฟ้าดินของโลกใบนี้ ไม่สิ ควรจะบอกว่าพลังขมุกขมัวดูจะดีกว่าเก้าแดนพวกเรามากทีเดียว” เทพมารวัวโลหิตกล่าวว่า “ทำให้ลมปราณของข้าคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งกว่า”
เดิมเทพมารวัวโลหิตก็มีสายเลือดที่หนึ่งไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว หลังจากขึ้นมาที่แดนสิบแล้วจึงได้รับประโยชน์ไม่น้อย เนื่องจากพลังขมุกขมัวนั้นเก้าแดนไม่อาจเทียบเคียงได้เลย
“พันสนยังตั้งใจจะยกเลิกทักษะที่มีอยู่แล้วเริ่มต้นฝึกใหม่ เฮ่อ เกรงว่าพวกเราที่เป็นตาเฒ่าทั้งหลายคงไม่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ พวกเราต่างอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าสมควรจะทดลองดูหรือไม่” เฒ่าเซียนของวิหารเทพสงครามถึงกับกล่าวด้วยท่าทีจริงจังขึ้นมา
แม้จะกล่าวว่า ต้นบรรพบุรุษพันสนจะสูงวัยมาก แต่ทว่า ด้านพลังลมปราณแล้วต้นบรรพบุรุษพันสนมีความได้เปรียบที่ได้รับเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมที่ดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนี้หาใช่พวกเทพมารวัวโลหิตและเฒ่าเซียนวิหารเทพสงครามสามารถเทียบเคียงได้
“สัจธรรมเป็นหนึ่งในหล้า ทุกคนย่อมสามารถเลือกเดินบนเส้นทางที่เป็นของตนเอง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตน” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้ข้าเองก็ไม่สามารถบังคับฝืนใจพวกเจ้า ท้ายที่สุดแล้วยังคงต้องถามจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าเอง ถ้าหากไม่แข็งแกร่งพอก็อาจจะธาตุไฟเข้าแทรกได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...