เวลานี้โอรสราชันเซียนเฟยถึงกับมีกำลังวังชาขึ้นมาเพียงเพราะว่าบิดาและท่านตาของเขาอาจมีชีวิตรอดกลับมา ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ถ้าหากจะกล่าวว่า นอกจากมีหลี่ชิเย่คนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้นแล้ว ยังมีผู้ที่สามารถสู้รบจนถึงที่สุดและรอดชีวิตกลับมา ย่อมบ่งบอกว่ายุคสมัยนี้ยังคงมีโอกาสรอด
“หากเป็นความจริงที่มีผู้ที่สามารถรอดชีวิตจากการสู้รบจนถึงที่สุด เพราะอะไรยุคสมัยยังคงถูกทำลาย ไม่มีใครสามารถเฝ้าระวังยุคสมัยของตนเอาไว้?” เมื่อโอรสราชันเซียนเฟยได้สติกลับมา ถึงกับพูดออกมาด้วยความสงสัย
“สิ่งนี้แหละคือสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด และคือหนึ่งในเหตุผลที่ข้าต้องการไปยังเป็นไปไม่ได้ที่มีโลกเช่นนี้ดำรงอยู่สักครั้ง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ถ้าหากข้าคาดการณ์ไม่ผิดหละก็ การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายสู้รบจนถึงที่สุด ยืนหยัดอย่างทระนง แต่สุดท้ายกลับหันหลังเดินจากไป”
“สู้รบจนถึงที่สุด ยืนหยัดอย่างทระนง แต่หันหลังเดินจากไป” โอรสราชันเซียนเฟยถึงกับงงงันเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ถึงกับเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความฉงนว่า “ในเมี่อเป็นเช่นนี้ เพราะอะไรจึงไม่เฝ้าระวังยุคสมัยของตน?”
“เรื่องบางเรื่องไม่มีใครสามารถรู้คำตอบ” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ก็เหมือนดั่งที่เจ้าบอกว่า เพราะอะไรจึงไม่ยอมเฝ้าระวังยุคสมัยของตน การที่ผู้อื่นหันหลังจากไปไม่แน่เสมอไปว่าจะหมายความถึงเขาไม่เฝ้าระวังยุคสมัยของตน ซึ่งคล้ายกับเพราะอะไรโลกดึกดำบรรพ์จึงคงอยู่”
คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้โอรสราชันเซียนเฟยตะลึงงัน ยุคสมัยจำนวนมากถูกทำลายไป แต่ว่า ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง เฉกเช่นแหลมเฮ่าว่าง ไกลกันดารแห่งแดนแห่งการสืบค้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่คือสิ่งที่หลงเหลือจากยุคสมัยหนึ่งยุคสมัยเล่า ท่ามกลางการหลงเหลือจากยุคสมัยหนึ่งกลับเป็นโลกที่เงียบงัน ปราศจากสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ปราศจากชีวิต
แต่โลกดึกดำบรรพ์กลับเป็นข้อยกเว้น ย่อมไม่ต้องสงสัย ยุคดึกดำบรรพ์ไม่อยู่ในยุคสมัยของพวกเขา แต่กลับเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา เหมือนว่าโลกดึกดำบรรพ์เป็นสิ่งที่หลงเหลือ่จากยุคสมัยใดสมัยหนึ่ง ส่วนที่ว่าเพราะอะไรจึงสามารถคงอยู่ในรูปแบบเดิม ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังที่แท้จริง
“ดังนั้น ในครั้งนั้นมีผู้ที่ก้าวขึ้นสู่โลกที่ไม่ได้ดำรงอยู่!” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ตามการคาดการณ์ของข้า ต่อให้เป็นผู้บงการแห่งยุคหากคิดจะก้าวขึ้นสู่โลกที่ไม่ได้ดำรงอยู่ ก็ต้องไปเพียงลำพังคนเดียว ถ้าหากมีคนที่สามารถก้าวขึ้นไปยังโลกที่เป็นไปไม่ได้ที่มีโลกเช่นนี้ดำรงอยู่โดยลำพังคนเดียว เช่นนั้นหละก็ เจ้าสามารถสำแดงจินตนาการของตนได้”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้โอรสราชันเซียนเฟยหวั่นไหว ถ้าหากมีผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้อยู่จริง เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่มีลักษณะเช่นนี้สามารถสู้รบจนถึงที่สุด ยืนหยัดอย่างทระนง แต่สุดท้ายกลับหันหลังเดินจากไป ก็ทำให้รู้สึกว่ามันไม่แปลกเสียแล้ว
“ไม่ถูก ถ้าหากมีผู้ที่สามารถรบจนถึงที่สุด และกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยในศึกเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายได้จริง ทำไมจึงไม่มีการสิ้นสุดหละ? ทำไมยังคงปล่อยให้ยุคสมัยมีการวัฏสงสารอยู่เช่นนี้ ปล่อยให้โลกแตกสลายเช่นนี้?” โอรสราชันเซียนเฟยรู้สึกว่าเบื้องหลังมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล แต่ไม่ถูกต้องตรงไหนกันแน่เขาก็บอกไม่ถูก
“ฉะนั้น นี่แหละคือจุดที่น่าสนใจมากที่สุด” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตัวเจ้า เจ้าสามารถก้าวไปถึงความสุงระดับนี้ เจ้าจะทำเช่นใด?”
“เฝ้าระวังยุคสมัย หยุดการแตกทำลาย” โอรสราชันเซียนเฟยหลุดปากตอบโดยไม่ต้องคิด สิ่งนี้คือความพยายามบรรลุเป้าหมายของปรัชญาเมธีรุ่นสู่รุ่น เคยมีผู้คนมากมายเท่าไรที่ได้ทุ่มเทความพยายามบนเส้นทางสายนี้ ปรัชญาเมธีจำนวนนับไม่ถ้วนที่ก้าวตามคนข้างหน้าไปอย่างไม่ขาดสายบนเส้นทางสายนี้ บิดาของเขาเป็นเช่นนี้ และท่านตาของเขาก็เป็นเช่นนี้
“แต่ว่า กลับมีคนที่ไม่ได้ทำเช่นนี้” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และหลี่ชิเย่ “บางที เขาได้ทำการเคลื่อนย้ายยุคสมัยของตน หรือเขาอาจคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตน คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ไม่สน และหรือเขาอาจสละทิ้ง”
“เพราะอะไรถึงสละทิ้ง?” โอรสราชันเซียนเฟยคิดไม่ตก ถ้าหากตัวเขามีศักยภาพเช่นนี้ เขาจะต้องรักษาเอาไว้อย่างมั่นคง และจะต้องเฝ้าระวังยุคสมัยของตน จะไม่ยอมละทิ้งอย่างเด็ดขาด
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้วหละ จะอย่างไรเสียข้าไม่ใช่เขา” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า ”บางทีเขาอาจรู้สึกว่ารู้สึกว่าชาวโลกไม่คู่ควรไปให้ความช่วยเหลือ และหรือเขารู้สึกว่าที่ตรงนั้นมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า หรือบางทีเขาได้เฝ้าระวังยุคสมัยของตนแล้ว เพียงแต่ชนรุ่นหลังไม่รู้เท่านั้นเอง”
โอรสราชันเซียนเฟยถึงกับนิ่งเงียบ เขาเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จะอย่างไรเสีย เมื่อก้าวถึงระดับความสูงเช่นนี้แล้ว ต่อให้ตัวเขาที่แข็งแกร่งเพียงนี้ก็ไม่อาจเข้าใจได้
“ถ้าเป็นใต้เท้าหละ? ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวใต้เท้าแล้วจะทำเช่นใด?” หลังจากที่นิ่งเงียบไปนานมาก โอรสราชันเซียนเฟยเงยหน้าขึ้นจ้องมองหลี่ชิเย่ และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังมาก
“เจ้าต้องการถามข้าว่าข้าจะเฝ้าระวังยุคสมัยหรือไม่หน่ะสิ” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะไม่เฝ้าระวังยุคสมัยให้อยู่แล้ว แต่ว่า ข้าก็จะไม่หันหลังจากไป ข้าจะสู้รบจนถึงที่สุด! สู้รบไปเรื่อยๆ บางที กล่าวสำหรับข้าแล้ว การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นส่วนตัวของข้าเท่านั้นเอง การต่อสู้ปราศจากขอบเขตสิ้นสุด! นี่แหละคือคำตอบของข้า!”
“การต่อสู้ที่ปราศจากขอบเขตสิ้นสุด!” คำพูดนี้พลันสร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับจิตใจของโอรสราชันเซียนเฟย อาศัยการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายมาเป็นกระดานกระโดด นี่ต้องการสู้รบกันจนถึงระดับไหนกัน!
“ดังนั้น เรื่องของสิบสามทวีปในอนาคต ยังคงต้องอาศัยพวกเจ้าไปเฝ้าระวัง จำเป็นต้องอาศัยพวกเจ้าไปยืนหยัด” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ถ้าหากอนาคตสำสามารถให้ข้าเลือกได้ ข้าต้องการไปเป็นผู้บุกเบิก เพื่อเปิดประตูบานหนึ่งให้กับตัวข้าเอง”
โอรสราชันเซียนเฟยพยักหน้าเบาๆ ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม หลี่ชิเย่ยังคงพูดคุยกับโอรสราชันเซียนเฟยไปมากมาย พวกเขาได้ทำการวางกักดักอีกครั้งให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้า จะอย่างไรเสียจะได้ทำให้สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีการป้องกันเอาไว้ เมื่อมีการมาถึงของความมืดในอนาคต ทำให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าสามารถยืนหยัดผ่านช่วงเวลาที่ยากเข็ญมากที่สุดไปได้ สามารถเป็นเหมือนตะเกียงส่องสว่างคอยนำทางให้ทุกคนได้ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป!
ตูม…ในขณะที่หลี่ชิเย่และโอรสราชันเซียนเฟยกำลังวางกับดักให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่นั้น ในบริเวณส่วนที่ลึกที่สุดของโลกดึกดำบรรพ์พลันเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา ทันใดนั้น ปรากฎกลิ่นอายขมุกขมัวพวยพุ่งขึ้นมา
ชั่วพริบตาเดียว ปรากฏมีรังขนาดยักษ์ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นมาจากบริเวณที่ลึกที่สุดของโลกดึกดำบรรพ์ มันเป็นรังขนาดยักษ์ที่ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาจากไม้เซียนอะไร มองเห็นเพียงความขมุกขมัวที่ทิ้งตัวลงมาไม่มีสิ้นสุด และที่ตรงนั้นปรากฏกฎเกณฑ์โบราณลอยล่อง ภายในรังมีประกายเซียนที่วูบวาบ เหมือนมีพลังแก่นเซียนที่ตกลงมา เหมือนว่าภายในรังสามารถบ่มฟักของวิเศษเซียนได้อย่างนั้น Aileen-novel
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...