“โลกที่ไม่น่าจะดำรงอยู่…” โอรสราชันเซียนเฟยพูดขึ้นเบาๆ เขาเคยได้ยินบิดาและท่านตาพูดคุยถึงโลกดังกล่าวมามากเหลือเกิน
“โลกนี้มีโลกที่ว่าอยู่จริงๆ รึ?” โอรสราชันเซียนเฟยพูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจนักว่า “สังสารวัฏของยุคสมัย การล่มสลายของยุคสมัย กลับยังคงมีโลกๆ หนึ่งที่ได้รับการยกเว้น สามารถหลุดพ้นจากการลงโทษทุกอย่าง สามารถสืบอยู่ต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด ไม่อยู่ภายใต้การถูกทำลาย”
แม้แต่โอรสราชันเซียนเฟยก็ไม่สู้จะมั่นใจนักเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หากการคาดเดานี้ไม่ได้ออกมาจากบิดาและท่านตาของเขาแล้วหละก็ โอรสราชันเซียนเฟยก็ไม่อยากจะเชื่อ
ผู้คนบนโลกไม่รู้ว่ายุคสมัยนั้นยาวนานเท่าไร จอมราชันเซียนหวังระดับล่างก็ไม่สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของยุคสมัย มีเพียงจอมราชันเซียนหวังระดับสูงเท่านั้นที่สามารถคาดการณ์ได้ ทั้งยังสามารถไล่ย้อนกาลเวลากลับไป มองจากระยะห่างไกลถึงการดำรงอยู่ของสายน้ำแห่งกาลเวลา ซึ่งต้องเป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย
มีเพียงจอมราชันเซียนหวังประเภทที่สามารถไล่ย้อนไปในกาลเวลา พวกเขาจึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ไม่ว่ายุคสมัยใดๆ ก็หนีไม่พ้นการล่มสลาย ไม่ว่ายุคสมัยใดๆ ก็อยู่ท่ามกลางสังสารวัฏ เนื่องเพราะอย่างนี้นี่เอง เมื่อจอมราชันเซียนหวังชะตาฟ้าสิบสองสายแข็งแกร่งจนถึงระดับที่เพียงพอจะริเริ่มให้มีการปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย ก็จะก้าวขึ้นสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากพวกเขาต้องการหลุดพ้น พวกเขาต้องการเฝ้าสังเกตการณ์ยุคสมัยของตน
นอกเหนือจากการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ท่ามกลางความขมุกขมัวที่ไม่มีสิ้นสุด ยังมีโลกอีกโลกหนึ่ง เล่าลือกันว่าโลกใบนี้สามารถหลุดพ้นจากการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง มันอยู่นอกสายตาของสวรรค์ มันถือเป็นโลกที่ห่างไกลมาก เป็นโลกที่ไม่สามารถคำนวณได้ เป็นโลกที่ไม่สามารถขึ้นไปถึง ไม่มีใครรู้ว่าโลกนี้มีลักษณะเช่นใด และไม่มีใครรู้ว่าโลกนี้ก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ดังนั้น ภายหลังจึงได้รับการขนานนามว่า ‘เป็นไปไม่ได้ที่มีโลกเช่นนี้ดำรงอยู่’ หรือว่า ‘โลกที่ไม่ได้ดำรงอยู่’
แน่นอนที่สุด โลกลักษณะเช่นนี้อย่าว่าแต่ผู้คนบนโลกเลย ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็เอื้อมไม่ถึง มีเพียงจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายสามารถสัมผัสได้เล็กน้อยเท่านั้น ยังคงไม่สามารถไปยังโลกใบนี้ได้
เป็นต้นว่าราชันเซียนเฟย และราชันเทพจงหนาน พวกเขาต่างก็เป็นจอมราชันเซียนหวังที่อยู่จุดสูงสุดของสิบสามทวีป แต่ทว่า พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาเข้าในเพียงผิวเผินเท่านั้น ต่อให้พวกเขาที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้ ก็ไม่สามารถไปให้ถึงโลกนี้ได้เช่นกัน
“มีโลกที่ว่าจริงๆ” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “มีผู้ที่เคยไปยังโลกใบนี้มาแล้ว บางทีในยุคสมัยของพวกเราอาจยังไม่เคยมีใครได้ไป แต่ยุคสมัยที่ถูกทำลายล่มสลายไปแล้วเคยมีผู้ที่ได้ไปมาแล้ว”
“มีเพียงผู้ดำรงอยู่ในฐานะผู้บงการของยุคสมัยจึงมีศักยภาพที่จะไปถึงรึ?” ภายในใจของโอรสราชันเซียนเฟยถึงกับหวั่นไหว ราชันเซียนเฟยที่เป็นบิดาของเขา ราชันเทพจงหนานที่เป็นท่านตาของเขาล้วนแล้วแต่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ ยังคงไม่สามารถไปถึงโลกใบนั้นได้ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสามารถไปยังโลกใบนั้นได้อย่างแท้จริงจะมีความน่ากลัวเพียงใด
“ถ้าหากไม่มีจังหวะอย่างเพียงพอ คิดจะฝืนบังคับไปให้ถึง เกรงว่าผู้บงการยุคสมัยก็ทำไม่ได้เช่นกัน!” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “คิดจะขึ้นไปยังโลกใบนี้ จำเป็นต้องอาศัยจังหวะที่พอเพียง มีศักยภาพที่แข็งแกร่งพอ สุดท้ายยังต้องมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่ง” กล่าวพลางชี้ไปที่อก
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วได้หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เนื่องเพราะเหตุนี้เอง ผู้ที่ไปถึงโลกนั้นได้มีอยู่ไม่มาก อย่างน้อยที่สุดยุคสมัยของพวกเราไม่เคยได้ยินว่ามีใครไปมา ตามความเห็นของข้า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดที่ยังคงเหลืออยู่ในยุคของพวกเราหากคิดจะไปให้ถึงก็คงไม่มีทาง เว้นแต่พวกเขาจะมีความก้าวหน้า ถ้าหากคนใดคนหนึ่งของพวกเขามีความก้าวหน้าจริงๆ ไปแล้ว ก็คงไม่ถึงกับต้องหดหัวอยู่ในกระดองท่ามกลางความมืดต่อไป พวกเขาคงไปกันแล้ว”
“นี่มันเป็นโลกแบบไหนกันแน่? โลกของเซียนรึ?” โอรสราชันเซียนเฟยถึงกับจินตนาการไปว่า โลกที่ขึ้นไปถึงยากขนาดนี้ มันคือโลกที่มีลักษณะเช่นใดกันแน่เล่า
“บางที อาจเป็นโลกที่ใกล้เคียงกับพวกเรากระมัง แต่ว่า มีเซียนหรือไม่ยังบอกไม่ได้” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา
“มีเซียนอยู่จริง!” พลันที่คำพูดนี้ได้พูดออกมา ภายในใจของโอรสราชันเซียนเฟยรู้สึกหวั่นไหว ราชันเซียนเฟยบิดาของเขา ท่านตาราชันเทพจงหนานคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งที่สุดในหล้า พวกเขาต่างไม่เคยได้พบกับเซียน ดังนั้น โอรสราชันเซียนเฟยจึงไม่ใช่ผู้ที่เชื่อว่าโลกนี้มีเซียนจริงๆ สักเท่าไร เซียนที่ปรากฎอยู่บนโลกก็แค่พูดลือกันไปปากต่อปากเท่านั้นเอง
“สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าว่า ได้ให้จำกัดความกับเซียนว่าอย่างไรแล้วหละ” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้โอรสราชันเซียนเฟยนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง บนโลกนี้ไม่ว่าใครล้วนแล้วแต่ไม่เคยเห็นเซียนมาทั้งนั้น ต่อให้เขาที่เป็นผู้ใความรู้กว้างขวางก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากจะให้เขาไปให้คำนิยามเกี่ยวกับเซียน เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะให้คำนิยามอย่างไรดี
“ใต้เท้าให้คำนิยามกับเซียนว่าอย่างไร?” โอรสราชันเซียนเฟยเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ และเอ่ยถามขึ้นมา
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ถ้าหากให้ข้าไปให้คำนิยามเกี่ยวกับเซียน เช่นนั้นแล้วก็ต้องไม่อาศัยของนอกกาย และสามารถทำได้ถึงขั้นไม่ดับไม่สลายอย่างแท้จริง คนผู้นั้นก็คือเซียน ที่เหลือนอกเหนือจากนี้ต่อให้มี ก็เป็นได้เพียงเซียนปลอมเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องอาศัยของนอกกาย และสามารถทำได้ถึงขั้นไม่ดับไม่สลายอย่างแท้จริง!” โอรสราชันเซียนเฟยถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินคำนิยามเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ บนโลกนี้มีใครบ้างที่สามารถทำได้ถึงขั้นไม่ดับไม่สลายบ้างเล่า เกรงว่าคงไม่มีใคร! อย่างน้อยในความทรงจำของเขาคือไม่มีใครทำได้ถึงจุดนี้
ต่อให้เป็นหลี่ชิเย่ก็ทำไม่ได้ไม่ดับไม่สลายเช่นกัน ในอดีตเขาไม่ตายไม่สลายเป็นเพราะอาศัยหญ้าอายุวัฒนะ เวลานี้เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะซ่อนวิญาณมรณะเอาไว้ แต่มีสักวันก็ต้องตาย อีกทั้งบนโลกนี้ยังคงมีพลังที่สามารถบดทำลายเขาได้
ผู้ที่ไม่ดับไม่สลายอย่างแท้จริงไม่เพียงไม่ตายเท่านั้น ทั้งยังไม่มีสิ่งใดสามารถบดขยี้ทำลายเขาได้ ลักษณะที่ไม่ดับไม่สลายเช่นนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...