เนื่องเพราะมีความรู้สึกเกิดความสะเทือนอารมณ์และสะท้อนใจ ทำให้หลิวจินเซิ่นตัดสินใจรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือ กล่าวสำหรับตัวเขาซึ่งเป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงแล้ว เขาห่างจากการเป็นเทพโบราณเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าอนาคตสำหรับเขานั้นกว้างไกลไร้ขอบเขต แต่ว่าเขายังคงยินดีรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า
เป็นไปตามที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างนั้น ถึงเวลาที่เขาสมควรคืนให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้าบ้างแล้ว
หลี่ชิเย่เองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจเช่นนี้ของหลิวจินเซิ่น เขาหัวเราะและกล่าวว่า “มีใครบ้างที่ไม่เคยประมาทเลินเล่อในวัยเยาว์ ใครๆ ก็เคยอวดดีกันทั้งนั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็สมควรมีผู้คอยเฝ้าปกป้อง จะอย่างไรเสียหนทางข้างหน้ายากลำบากยิ่งนัก การที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้เจ้าที่เป็นขุนพลใหญ่เพิ่มอีกคน นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีของสถาบันศึกษาเทพเจ้า”
หลิวจินเซิ่นถึงกับหัวเราะออกมาเช่นกัน การรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือก็ถือเป็นการคลายปมที่อยู่ในใจของเขาในครั้งนั้น ครั้งนั้นเขาที่อายุยังน้อยจึงมีความโอหังยิ่งนัก ทำร้ายอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจนบาดเจ็บ ฝากคำพูดนักเลงไว้แล้วก็ไปจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า
ครั้นเมื่ออายุล่วงเลยเข้าสู่วัยชราได้กลับมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าอีกครั้ง เมื่อหวนนึกถึงอดีตที่อายุยังน้อยและประมาทเลินเล่อถึงกับยิ้มออกมา การรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือถือเป็นการคืนถิ่นและนับเป็นชะตาลิขิตอย่างหนึ่ง
แล้วเจ้าหละ…เวลานี้หลี่ชิเย่มองดูแขนเหล็กห่วงทองคำแล้วเอ่ยขึ้น
แขนเหล็กห่วงทองคำเกาหัวและหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “แหะ มีผู้เฒ่าหลิวเป็นผู้สนับสนุน ข้ากลับอยากจะรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า เพียงแต่ข้าเบื้องบนมีผู้เฒ่าเบื้องล่างมีเด็กน้อย ทั้งครอบครัวต่างรอให้ข้าไปให้การเลี้ยงดู ดังนั้น ข้ายังคงกลับบ้านจะดีกว่า”
แขนเหล็กห่วงทองคำหวังจั๋วต้งแตกต่างจากหลิวจินเซิ่น บนบ่าของเขาแบกภาระหนักอึ้งต้องสร้างตระกูลหวังให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ ที่เขามายังสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็เพื่อค้นหาเคล็ดวิชาลับของบรรพบุรุษตระกูลหวังที่หายไป เวลานี้เขาสามารถค้นหาเคล็ดวิชาที่สูญหายจนพบแล้ว ก็สมควรแก่เวลาที่เขาจะต้องกลับไปแล้ว ในอนาคตตระกูลหวังยังต้องพึ่งพาความพยายามของเขา ต้องการเขาเป็นผู้ที่แบกรับภารกิจยิ่งใหญ่
“ไปเถอะ ลูกหลานของตระกูลหวังยังคงต้องกลับบ้านอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ได้มอบของวิเศษหลายชิ้นให้กับแขนเหล็กห่วงทองคำไปตามอารมณ์
แขนเหล็กห่วงทองคำร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง หลังจากรับเอาของวิเศษที่หลี่ชิเย่มอบมาให้ ก้มกราบกับพื้น คุกเข่าสามครั้งกราบเก้าครั้ง และกล่าวว่า “ขอบคุณอาจารย์ที่ประทานให้”
ตระกูลหวังของเขาตกต่ำลง เวลานี้เขาคิดจะฟื้นฟูตระกูลหวังขึ้นใหม่ เรียกได้ว่าหนทางยาวไกลและยากเข็ญ เวลานี้หลี่ชิเย่ประทานของวิเศษให้เขารวดเดียวหลายชิ้น นับว่าเป็นการยื่นมือเข้าช่วยในยามยาก และทันกาล ซึ่งสิ่งนี้นับว่ามีความสำคัญต่อตระกูลหวังของเขามากเหลือเกิน
“ลูกหลานของตระกูลหวังก็อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง” หลี่ชิเย่พยักหน้า และรับการคารวะเต็มรูปแบบอย่างสงบ
หลังจากที่แขนเหล็กห่วงทองคำแสดงคารวะเต็มรูปแบบด้วยการคุกเข่าสามครั้งกราบเก้าครั้งแล้ว จึงได้ลุกขึ้นมาด้วยความดีใจอย่างยิ่งและถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง ทุกอย่างนับว่าเพียงพอสำหรับเขาแล้ว
“ซินเสวี่ยคิดอย่างไรบ้าง?” หลี่ชิเย่อมยิ้มมองดูเย่ซินเสวี่ย เขาเองก็ชื่นชมและชื่นชอบหญิงสาวที่มีท่าทีเอียงอายบ้างผู้นี้ บนตัวของนางทำให้เขามองเห็นเงาของคนผู้หนึ่ง
“ข้า…” เย่ซินเสวี่ยเงยหน้าขึ้นจ้องมองหลี่ชิเย่ จากนั้นมองดูหลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำ เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
นางแตกต่างจากหลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำ ทั้งหลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำต่างพกพาเป้าหมายเข้ามายังสถาบันศึกษาเทพเจ้า เมื่อเทียบกับพวกเขาสองคนแล้ว เป้าหมายของนางดูจะบริสุทธิ์ยิ่งนัก แค่ต้องการอ่านตำราเท่านั้นเอง ต้องการเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
เวลานี้ หลิวจินเซิ่นคงอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อสอนหนังสือ ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำเข้าสู่การฟื้นฟูตระกูลของตนเองที่ภารกิจยิ่งใหญ่ นางที่เป็นเพียงนักศึกษาตัวน้อยๆ พลันรู้สึกแคว้งขึ้นมา จากการที่หลิวจินเซิ่นและแขนเหล็กห่วงทองคำจากไป ภายในเรือนตำราก็จะเหลือนางที่เป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ข้า ข้า ข้าก็ไม่รู้” เย่ซินเสวี่ยมีท่าทีเอียงอาย และรู้สึกสับสนงุนงง สุดท้ายอดที่จะเพิ่มเติมไปคำหนึ่งว่า “ข้า ข้าอยากอ่านตำรา”
การที่เย่ซินเสวี่ยได้เพิ่มเติมคำๆ หนึ่งนั้น ในนั้นมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าเย่ซินเสวี่ยจะมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนางโบราณ แต่ยังเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล แต่การอยู่ในตระกูลของนางนั้นดูจะเข้ากับนางไม่ได้เลย นางจึงยินดีที่จะรั้งอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในทะเลตำราที่กว้างใหญ่ไพศาลนั่น
ต่อให้มีวันนั้นวันที่นางสำเร็จการศึกษาแล้ว นางก็ยังยินดีที่จะอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่อไป เนื่องจากการอยู่ในเรือนตำราที่ภายในสถาบันที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ นางสามารถหลีกหนีไกลจากความวุ่นวายต่างๆ ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ที่ลึกลับซับซ้อนสารพันภายในตระกูลของนาง
“ก็ได้” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “ข้าจะบอกกล่าวกับทางสถาบัน รอให้เจ้าสำเร็จการศึกษาแล้ว เจ้าก็ยังคงอยู่ที่เรือนตำราได้อีกต่อไป”
“จริงรึ…” เย่ซินเสวี่ยรู้สึกดีใจสุดขีดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ เวลานี้นางยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ จะอย่างไรเสียนางเป็นเพียงนักศึกษาที่ธรรมดามากๆ คนหนึ่งเท่านั้น การจะคงอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วใช่เป็นเรื่องง่ายดาย โดยทั่วไปจะมีเพียงนักศึกษาที่ดีเลิศเท่านั้นที่คงอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ต่อไปหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว
ถ้าหากเวลานี้นางสามารถรั้งอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่อไป กล่าวสำหรับนางแล้วไม่เพียงแค่เป็นข่าวดีที่สุดในโลกเท่านั้น
“ฮ่า ฮ่านังหนู ยินดีด้วย ในที่สุดความฝันเจ้าก็เป็นจริงแล้ว” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับหัวเราะเสียงดัง และกล่าวแสดงความยินดีกับเย่ซินเสวี่ย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...