ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2143

ชายหนุ่มที่ชื่อว่าเผิงเวยจิ่นมองหน้าหยางเซิ่นผิงอย่างเหยียดหยามเมื่อถูกขวางทางเอาไว้ หัวเราะเยาะว่า “หยางเซิ่นผิง ข้าให้ความเคารพในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส แต่ อย่าลืมไปสิว่าที่นี่คือลานหลวง หาใช่สำนักกระบี่ยักษ์ที่เป็นสถานที่เล็กๆ ของพวกเจ้า ในลานหลวงมียอดฝีมืออยู่มากมาย ระดับวีรบุรุษแท้จริงมีอยู่ดาษดื่นเต็มไปหมดทุกที่”

“เรื่องนี้ข้ารู้ ไม่จำเป็นต้องให้นายน้อยตระกูลเผิงกล่าวเตือน” สีหน้าของหยางเซิ่นผิงดูบึ้งตึง ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงมานาน และมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน มาวันนี้ถูกผู้เยาว์คนหนึ่งเยาะเย้ย อย่างไรเสียก็ต้องบังเกิดอารมณ์ขึ้นในใจ

“ฮึ ดูท่าเจ้านี่ใจกล้ามากขึ้นไม่น้อยทีเดียว ปรกติแล้วเจ้าไม่เคยออกไปไหน” เผิงเวยจิ่นหัวเราะเยาะทีหนึ่ง เวลานี้เขาไม่ได้ไปสนใจต่อหลี่ชิเย่อีก ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ได้ข่าวว่าระยะหลังเจ้าไปมาหาสู่กับจวนหวังไม่น้อยเลยนะ ดังนั้น จึงเข้าใจว่าได้เกาะจวนหวังแล้ว ความมั่นใจก็เลยมากขึ้นน่ะสิ?”

“นายน้อยเผิงกล่าวหนักไปแล้ว” สีหน้าของหยางเซิ่นผิงดูบึ้งตึงขึ้น หวังหานก็อยู่ตรงนี้เอง เกิดพูดจาที่น่าเกลียดออกมาล่ะก็ ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่หาทางลงไม่ได้

“แหะกล่าวหนักไม่หนักอะไร สิ่งนี้ในใจของเจ้าเข้าใจดี” เผิงเวยจิ่นยิ้มเยาะและกล่าวว่า “อย่าลืมไปสิ ฝ่าบาทสวรรคต เกรงว่าสถานการณ์ของจวนหวังไปแล้วไปลับ ถ้าหากเจ้ารู้จักกาลเทศะล่ะก็ควรรู้ว่าจะต้องเลือกอย่างไร ถ้าหากเจ้ารู้จักกาลเทศะ ยินดีต้อนรับเจ้าเข้าสู่ตระกูลเผิงของพวกเรา เบื้องหลังตระกูลเผิงพวกเรามีกองกำลังซั่งหนุนหลังอยู่ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้าไม่รู้…”

“นายน้อยเผิงให้เกียรติข้า ข้ารับไม่ไหวหรอกนะ ขอบคุณ” ขณะที่เผิงเวยจิ่นพูดยังไม่จบ สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไป พลันพูดตัดบทเผิงเวยจิ่นไป

จะอย่างไรเสียที่เขาเกาะคือจวนหวัง เวลานี้ที่คอยให้การสนับสนุนตัวเขาก็คือจวนหวังเช่นกัน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น หวังหานก็อยู่ในเหตุการณ์ เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูแล้วย่อมไม่เป็นผลดีต่อสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขา เกิดถูกสงสัยว่าตัวเขามีในเป็นอื่นทุกอย่างก็อาจจะต้องจบสิ้นลง ดังนั้น เขาจึงต้องรีบกล่าวตัดบทเผิงเวยจิ่นทันที

“ฮึ ไม่รักดี” เผิงเวยจิ่นส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา กล่าวน่าเกรงขามว่า “รอให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว เจ้านึกเสียใจก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว” พูดจบหันหลังจากไปทันที

แม้ว่าภายในใจของเผิงเวยจิ่นจะดูเคลนหยางเซิ่นผิงอยู่แต่ก็ไม่ปะทะกับเขา จะอย่างเสียตัวเขาคือระดับอัจฉริยะแท้จริง ขณะที่หยางเซิ่นผิงอยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

เผิงเวยจิ่นทิ้งคำพูดเช่นนี้เอาไว้แล้วก็จากไป ซึ่งทำให้สีหน้าของหยางเซิ่นผิงต้องเปลี่ยนไป ท่าทางของเขาดูจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากที่ตามทันพวกของหลี่ชิเย่แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

“พระนาง อย่าได้ไปฟังนายน้อยเผิงพูดจาไร้สาระ” ท่าทางของหยางเซิ่นผิงดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดและหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา

จะอย่างไรเสียประโยคสุดท้ายของเผิงเวยจิ่นออกจะน่าเกลียดมาก เป็นการท้าท้ายอำนาจของจวนหวังซึ่งหน้าโดยตรง เป็นความจริงขณะที่หวังหานในฐานะราชินีในปัจจุบัน เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว ย่อมต้องไม่สบอารมณ์แน่นอน

“ไม่เป็นไร” หวังหานเพียงพูดน้ำเสียงเรียบเฉยออกมา

ความจริงแล้ว คำพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดคิดของหวังหาน จะอย่างไรเสียเวลานี้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีผู้คนจำนวนมากที่จ้องมองอำนาจที่อยู่ในมือของนาง ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่คาดหวังให้นางมอบอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงออกมาเสียเดี๋ยวนี้แลย เพื่อให้พวกเขาได้เป็นผู้สืบทอดในฐานะสายตรงต่อไป

เผิงเวยจิ่นคือนายน้อยแห่งตระกูลเผิง ขณะที่ตระกูลเผิงก็มีกำลังในแถบลานหลวงอยู่ไม่ธรรมดาทีเดียว ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ตระกูลเผิงนั้นภักดีต่อกองกำลังซั่ง โดยที่กองกำลังซั่งคือหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของลานกำแหง ต้องการเข้าไปครอบครองพระราชวังเพื่อควบคุมและกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

เวลานี้กษัตริย์สวรรคต กองกำลังซั่งอดทนรอต่อไปไม่ไหวมานานแล้ว ดังนั้น เวลานี้เมื่อได้ฟังคำพูดของเผิงเวยจิ่นแล้ว ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดคิดของหวังหานอยู่แล้ว

แน่นอน หลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อยสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อยู่แล้ว จะเป็นกองกำลังซั่ง หรือตระกูลเผิงอะไรนั่น กล่าวสำหรับเขาแล้วมันก็แค่มดปลวกเท่านั้น เขาเพียงวัดผืนแผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาไปเท่านั้น

หลี่ชิเย่ไม่เพียงก้าวเดินอยู่ภายในพระราชวังเท่านั้น หลังจากออกจากพระราชวังแล้วเขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างนอกทีละก้าวๆ ทำการวัดไปทั่วทั้งลานหลวง

ศูนย์กลางของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็คือลานหลวง แม้จะกล่าวว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีพื้นที่นับสิบล้านลี้ ในครั้งนั้นหลังจากที่ผู้เฒ่ากำแหงเปิดต้นกำเนิดสัจธรรมแล้วก็ได้ทำการหลอมกลั่นแผ่นดินที่ไร้ขอบเขตผืนนี้ โดยทุกตารางนิ้วของแผ่นดินล้วนแล้วแต่ถูกกลั่นให้เป็นแผ่นดินสัจธรรม แต่ทว่า สถานที่ที่ทำให้ผู้เฒ่ากำแหงต้องทุ่มเทพลังกายใจวางรากฐานให้มั่นคงยังคงเป็นลานหลวง

กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยรวมแล้ว ขอเพียงลานหลวงไม่ล้มลง เช่นนั้นแล้วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็จะยังคงอยู่ ต่อให้มีสักวันที่แผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถูกผู้อื่นยึดครองไป แต่ว่า ขอเพียงลานหลวงยังคงอยู่ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็จะยังคงอยู่

แน่นอนที่สุด ถ้าหากแม้ลานหลวงยังถูกทำลายไป ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงมีแผ่นดินในครอบครองอีกมากมายก็ตาม ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็เท่ากับคงอยู่แต่ในนามเท่านั้นเอง

หลังจากที่ทำการวัดลานหลวงไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้กุมฐานรากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยรวมเอาไว้ทั้งหมดได้แล้ว เรียกได้ว่า หากเขาต้องการโยกย้ายพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดในวันนี้ มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก เขาสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไว้ได้ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่า เขาไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังใดๆ ของตนเองแม้แต่น้อยก็สามารถกวาดทุกอย่างจนหมดสิ้น ไม่มีใครสามารถขวางเขาเอาไว้ได้ ตัวเขาก็คือผู้บงการของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแห่งนี้

“นับว่าตาเฒ่าได้สิ้นเปลืองพลังกายใจลงไปนับไม่ถ้วนเลยนะเนี่ย นับเป็นความรักที่ลึกซึ้งมากโดยแท้ น่าเสียดาย ไม่มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่รุ่งเรืองเป็นนิรันดร์” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นใสช้าๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล