สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อได้ฟังคำของเผิงเวยจิ่นแล้ว การสูญเสียอำนาจของหวังหานกล่าวสำหรับสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขานับว่าไม่ใช่เรื่องดีโดยแท้ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาใกล้ชิดกับสายของหวังหานมากที่สุด
“ตอนนี้รู้แล้วสิว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว” เผิงเวยจิ่นถึงกับกล่าวด้วยความลำพองใจเมื่อเห็นสีหน้าของหยางเซิ่นผิงที่เปลี่ยนไปมาก “ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าล้มลงไปแล้ว ยังจะมีใครมาหนุนหลังเจ้าอีก เมื่อถึงเวลานั้น ข้าไม่เพียงจะเหยียบเจ้าให้จมดิน ยังจะฆ่าล้างสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเจ้า ให้มันหายไปจากโลกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!”
ครั้นเผิงเวยจิ่นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ความลำพองใจได้ปรากฏชัดบนใบหน้าอย่างเต็มที่ ขณะที่เขามาจากลานหลวงก็ได้ยินข่าวลือบางอย่างจากจวนหวังแล้ว ลือกันว่าบรรดาผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกบางส่วนของจวนหวังคิดจะปลดหวังหานออกจากตำแหน่ง และสนับสนุนให้ศิษย์ที่เป็นชายคนหนึ่งมาปกครองกุมอำนาจของจวนหวังแทน กระทั่งสนับสนุนให้กลายเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง มีเพียงศิษย์ที่เป็นชายและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะแข่งขันกับผู้รับการคัดเลือกจากขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามได้
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อได้ยินคำพูดของเผิงเวยจิ่นแล้ว มีจำนวนไม่น้อยที่มองหน้ากันและกัน และมีบางส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ
“ที่แท้เขาก็คือบรรพบุรุษของสำนักกระบี่ยักษ์หยางเซิ่นผิง ฟังว่าสำนักกระบี่ยักษ์ใกล้ชิดกับจวนหวังเป็นอันมาก หรือว่าจวนหวังจะเปลี่ยนคนจริงๆ แล้ว ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงจะมีการเปลี่ยนแผ่นดินแล้วจริงๆ” สำนักบางส่วน และผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลขุนนางโบราณบางคนเมื่อได้ฟังคำของเผิงเวยจิ่นแล้ว ต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
จะอย่างไรเสีย เผิงเวยจิ่นนั้นมาจากลานหลวง เขาจึงสามารถได้ข่าวรวดเร็วกว่าคนอื่นมากทีเดียว เวลานี้ดูไปแล้ว จวนหวังเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่มีกองทัพตั้งค่ายกันที่ตรงนี้ ไม่มีเหตุผลที่จวนหวังจะไม่มาตั้งค่ายที่นี่ด้วย
การที่เผิงเวยจิ่นอาศัยคำพูดข่มขู่ตรงๆ ออกมาเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไป แน่นอน จากการตบปาเผิงเวยจิ่นอย่างแรงในครั้งนั้น หยางเซิ่นผิงก็เข้าใจแล้วว่าเขาได้เป็นศัตรูกับบ้านตระกูลเผิงเรียบร้อยแล้ว แน่นอนที่สุด เขาไม่ได้เสียใจกับการติดสินใจเลือกเช่นนี้
เวลานี้ หยางเซิ่นผิงถึงกับมองไปที่หลี่ชิเย่ เขาจะเดินตามหลี่ชิเย่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ขอเพียงหลี่ชิเย่สั่งการมาคำเดียวก็พอ
แน่นอน หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจเผิงเวยจิ่น ยังคงดื่มสุราจอกนั้นที่อยู่ในมือต่อไป
เดิมทีความตั้งใจของเผิงเวยจิ่นก็คือข่มยขวัญพวกของหยางเซิ่นผิงก่อน จะอย่างไรเสียเวลานี้ผู้ให้การสนับสนุนพวกของหยางเซิ่นผิงได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด หลังจากนั้นพวกเขาหยางเซิ่นผิงก็ต้องถูกเขาเหยียบย่ำไปตามอารมณ์!
ครั้นเผิงเวยจิ่นเห็นว่าหยางเซิ่นผิงไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา เพียงมองไปที่หลี่ชิเย่ ทำให้สีหน้าของเผิงเวยจิ่นดูเย็นชา และดวงตาทั้งสองได้เผยปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวยิ่งออกมา เขาหัวเราะน่าครั่นคร้ามและกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “แหะ เจ้าหนู เจ้าก็ลำพองต่อไปไม่ได้แล้ว ผู้ที่ครองแผ่นดินต่อไปจะไม่ใช่จวนหวังอีก ไม่มีใครสามารถคุ้มครองเจ้าได้! เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าเจ้าจะต้องตายเสียดีกว่าอยู่! แหะ หากเวลานี้คิดจะขอให้ข้าละเว้นให้ยังทัน บางทีข้าอาจจะใจอ่อนยอมไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
เผิงเวยจิ่นนั้นมองว่าจวนหวังได้เข้าสู่สถานการณ์แย่งชิงกันภายใน สถานการณ์ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว เวลานี้กระทั่งรักษาตัวเองให้รอดก็ไม่มีเวลาแล้ว! ไม่ว่าหลี่ชิเย่จะมีประวัติความเป็นมาและฐานะอย่างไรก็ตาม เมื่อสูญเสียผู้ให้การสนับสนุนเช่นจวนหวังแล้ว การที่จะทำให้หลี่ชิเย่ต้องตายก็คงเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่นั้น เขามองว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงเนื้อที่อยู่บนเขียงของพวกเขาเท่านั้นเอง
ดังนั้น เผิงเวยจิ่นจึงตั้งใจจะข่มขวัญหลี่ชิเย่เอาไว้ก่อน ให้พวกเขาต้องตกอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาที่หวาดผวา ให้พวกเขาอยู่ภายใต้การครอบงำของเงาทมิฬจากบ้านตระกูลเผิงของพวกเขา ทำให้ต้องอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลา รอจนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างแน่นอนแล้ว ก็จะค่อยๆ ทรมานและสังหารพวกของหลี่ชิเย่ก็ยังไม่สาย
ดังนั้น มาคราวนี้เผิงเวยจิ่นใจกล้าถึงขนาดเข้ามาพูดจานักเลง ก็เพื่อต้องการข่มขู่พวกของหลี่ชิเย่ ให้พวกเขาบังเกิดเงาทมิฬในใจ ซึ่งทำให้เขาสามารถระบายความแค้น และเสพสุขกับความรู้สึกดีๆ ที่ได้แก้แค้น
เวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าเจ้าหนูที่แลดูไร้ชื่อไร้เสียงผู้นี้ไปล่วงเกินเผิงเวยจิ่นได้อย่างไรกันแน่ ไปล่วงเกินบ้านตระกูลเผิงได้อย่างไร ถ้าหากเจ้าหนูที่แลดูไร้ชื่อไร้เสียงผู้นี้ไม่มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งจริงล่ะก็ การเป็นศัตรูกับเผิงเวยจิ่นเช่นนี้ เป็นการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
“คุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะยอมรับผิดเสีย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง” สำหรับคำพูดของเผิงเวยจิ่นนั้น หลี่ชิเย่เอ่ยคำออกมาโดยที่กระทั่งหนังตาไม่ได้เลิกขึ้นสักครั้งและไม่ได้มองหน้าเขาเลย กล่าวเรียบๆ ขึ้นมา
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา พลันทำให้บรรยากาศทั่วทั้งโรงเตี้ยมตึงเครียดขึ้นมาทันที ทุกคนต่างเบิ่งตาจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
“คำพูดนี้พูดเกินเลยไปแล้วกระมัง เจ้าหนูผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับกล้าพูดกับนายน้อยเผิงเช่นนี้” มีผู้ที่กล่าวด้วยความตระหนกออกมา
มีศิษย์ตระกูลขุนนางโบราณบางคนที่จงใจเอาใจเผิงเวยจิ่นจึงได้หัวเราะเยาะ และกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย ถึงกับกล้าพูดเช่นนี้กับนายน้อยตระกูลเผิง ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย เป็นการรนหาที่ตายเอง!”
“เจ้าเดรัจฉานน้อย ข้าจะเชือดเจ้าเสีย!” เดิมทีเผิงเวยจิ่นต้องการข่มขวัญพวกของหลี่ชิเย่ ข่มขู่พวกเขาเพื่อเป็นการขจัดความอัดอั้นที่สุมอยู่ในอก!
แต่ทว่าเวลานี้คำพูดคำเดียวของหลี่ชิเย่ได้ไปกระทบถึงแผลที่อยู่ในใจของเผิงเวยจิ่น ทนไม่ได้จนต้องร้องเสียงดังออกมา มือขนาดใหญ่ได้ยื่นเข้าไปคว้าตัวหลี่ชิเย่ทันที
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่มือของหลี่ชิเย่ยังไม่ทันแตะต้องตัวของหลี่ชิเย่นั้น พลันถูกหยางเซิ่นผิงปัดออกไป เผิงเวยจิ่นอยู่ในระดับอัจฉริยะแท้จริงเท่านั้น เมื่อเทียบกับระดับวีรบุรุษแท้จริงของหยางเซิ่นผิงแล้ว นับว่ายังห่างชั้นกันอยู่มากเหลือเกิน
“ท่านอาเจ็ด ท่านสังหารคนแซ่หยางนี่เสีย ข้าจะไปจัดการเก็บเจ้าหนูคนนั้น!” สีหน้าของเผิงเวยจิ่นเปลี่ยนไปมากเมื่อถูกหยางเซิ่นผิงกันเอาไว้ กัดฟันและตัดสินใจเด็ดขาดในใจ ไหนๆ แล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด
“ฮึ…” เผิงเวยจิ่นไม่ได้เดินเข้าหาเพียงคนเดียว ด้านหลังของเขายังติดตามมาด้วยศิษย์ของตระกูลเผิงอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นเป็นผู้เฒ่าที่ยืนกอดกระบี่อยู่ตลอดเวลา เวลานี้เขาส่งเสียงฮึเย็นชาออกมาและเดินเข้าหาหยางเซิ่นผิง
ผู้เฒ่าผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของตระกูลเผิง อยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง ดังนั้น หยางเซิ่นผิงพลันมีสีหน้าที่บึ้งตึงเมื่อมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...