เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ…เสียงตบหน้าที่ดังก้องกังวานอยู่ภายในโรงเตี้ยม ทุกคนต่างจ้องมองตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ทำเช่นนี้ออกจะนักเลงเกินไปแล้ว มันเป็นการหักหน้ากับบ้านตระกูลเผิงอย่างสิ้นเชิง เป็นการประกาศไม่ขออยู่ร่วมโลกกับบ้านตระกูลเผิง กระทั่งเป็นศัตรูกับกองกำลังซั่ง” มีผู้ที่เห็นเผิงเวยจิ่นถูกตบหน้าแล้วถึงกับพึมพำออกมาอย่างใจหายใจคว่ำ
บ้านตระกูลเผิงมีสัมพันธ์ที่สนิทสนมแนบแน่นกับตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งอย่างยิ่ง เคยเกี่ยวดองสมรสกันมาหลายชั่วอายุคน มาวันนี้การที่หยางเซิ่นผิงตบหน้าเผิงเวยจิ่นอย่างแรงต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เท่ากับเป็นตบหน้าบ้านตระกูลเผิงโดยตรง และเป็นการตบหน้าตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งเช่นกัน
“คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?” ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับขนลุกซู่ในใจ และไม่มีใครรู้จักหลี่ชิเย่ การที่หาญกล้าหักหน้ากันอย่างเปิดเผยกับบ้านตระกูลเผิง และกล้าเป็นศัตรูกับกองกำลังซั่งได้ ย่อมไม่ใช้บุคคงเล็กๆ อย่างแน่นอน
แต่ทว่า ไม่มีใครดูรู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นมีประวัติความเป็นมาเช่นใดกันแน่ และไม่มีใครดูออกว่าหลี่ชิเย่นั้นเป็นใครมาจากไหน
“ตบได้ดี” ในขณะที่หยางเซิ่นผิงกำลังตบปากอยู่นั้น ปรากฏเสียงปรบมือดังขึ้น มองเห็นคนผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาจากด้านนอก หัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “อาศัยอิทธิพลของนายเที่ยวข่มเหงรังแกผู้อื่น คิดว่าเกาะกองกำลังซั่งได้แล้วก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ ผู้เยาว์ที่โง่เขลาเช่นนี้สมควรสั่งสอนให้เข็ดหลาบ!”
ผู้ที่ก้าวเดินเข้ามาจากด้านนอกดูอายุน้อยมาก สวมชุดทะมัดทะแมง ดูเป็นคนที่คล่องแคล่ว สวมผ้าคลุมสีเงิน ผมขาวทั้งหัวยาวปะบ่า ทำให้ภาพรวมของเขาดูมีจังหวะจะโคนอย่างบอกไม่ถูก
คนหนุ่มคนหนึ่ง แต่กลับผมขาวทั้งหัว สายตาคู่นั้นของเขาส่อแววตาที่รุนแรงดุดันแวบวับออกมา เสมือนหนึ่งเป็นเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อเอาไว้แล้วอย่างนั้น
จิ้งจอกเงิน…ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ภายในโรงเตี้ยมต่างรู้สึกตระหนกยิ่งนักเมื่อมองเห็นบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ หรือจะเป็นระดับผู้อาวุโสของสำนัก ต่างทยอยกันลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงคารวะต่อชายหนุ่มผู้นี้
“จิ้งจอกเงินแห่งแดนอุดรของหอศักดิ์สิทธิ์!” ศิษย์ตระกกูลขุนนางโบราณ และระดับผู้อาวุโสของสำนักจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกขนลุกซู่ในใจเมื่อได้ยินชื่อนี้แล้ว
หอศักดิ์สิทธิ์คือหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ขณะที่แดนอุดมก็คือหนึ่งในสองพรรคของหอศักดิ์สิทธิ์ มีกำลังที่กล้าแข็งมากในแดนอุดร สำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนมากต่างเข้าไปอยู่ในสังกัดของแดนอุดรเป็นจำนวนมาก
ยิ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงด้วยแล้ว ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีชื่อเสียงที่โด่งดังมาก นามจิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ย เป็นดาวรุ่งหนุ่ม่ของหอศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นบุคคลที่เป็นตัวแทนของแดนอุดร
ซวี๋จื้อเจี๋ยมีกองพันเถี่ยลี่อยู่ในมือ อยู่ในฐานะเสาหลักของหอศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจตรวจสอบระดับหนึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ดังนั้น ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้วซวี๋จื้อเจี๋ยนับว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจผู้หนึ่ง สำนักต่างๆ และตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ต้องให้เกียรติจิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยอยู่สามส่วน
อีกทั้งคนอย่างซวี๋จื้อเจี๋ยเป็นคนลื่นไหลและชั่วร้าย สายตาของเขาเหี้ยมมาก ด้วยเหตุนี้เอง สำนักและตระกูลขุนนางโบราณต่างๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างยินดีเชื่อมสัมพันธ์กับซวี๋จื้อเจี๋ยจำนวนไม่น้อย
หลังจากที่ซวี๋จื้อเจี๋ยก้าวเข้ามาในโรงเตี้ยมแล้ว บรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ หรือระดับผู้อาวุโสของสำนักต่างทยอยกันลุกขึ้นมาแสดงความเคารพ ทุกคนต่างจงใจส่งความปรารถนาดีต่อซวี๋จื้อเจี๋ย
เนื่องด้วยหลังจากกษัตริย์ที่กษัตริย์องค์ปัจจุบันสวรรคตแล้ว ขั้วอำนาจต่างล้วนแล้วแต่จับจ้องไปที่อำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงตาเป็นมัน แม้ว่าอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะอยู่ในมือของหวังหานผู้เป็นราชินีเป็นการชั่วคราว แต่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องมีกษัตริย์องค์ใหม่ที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์
ปัจจุบันผู้มีสิทธิ์ได้ขึ้นกุมอำนาจเป็นกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีอยู่หลายคนด้วยกัน หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือจิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยนั่นเอง
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ถ้าหากจิ้งจอกเงินได้สืบทอดก้าวขึ้นสู่บัลลังก์กษัตริย์ได้ครอบครองอำนาจจริงๆ ล่ะก็ สามารถถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ในเวลานี้ ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เวลานี้ หลี่ชิเย่ดีดนิ้วทีหนึ่ง เสียงดังปัง ผู้เฒ่าที่ถูกสยบเอาไว้นั้นพลันปลิวออกไป จากนั้นได้โบกมือกับหยางเซิ่นผิง
หยางเซิ่นผิงที่ตบหน้าเผิงเวยจิ่นอย่างหนักหน่วงจึงได้หยุด และปล่อยตัวเผิงเวยจิ่นไป กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “นายน้อยเผิง ไปเถอะ ชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียว เจ้าระมัดระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
คำพูดนี้ของหยางเซิ่นผิงเดิมมีเจตนาดี เป็นการเตือนสติเผิงเวยจิ่นต่อไปอย่าได้มาหาเรื่องหลี่ชิเย่อีก หากมีครั้งต่อไป เกรงว่าคงไม่เพียงแต่ตบปากเท่านั้นแล้ว! เกรงว่าอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตของตน
แต่ทว่า เผิงเวยจิ่นในเวลานี้ถูกตบจนเลือดกบปาก ถูกหยางเซิ่นผิงตบหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายถึงสองครั้ง ซึ่งกล่าวสำหรับเขาแล้วคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นที่อำมหิตยิ่งนัก
“เจ้าคนแซ่หยาง เจ้าจำไว้ให้ดี ข้าไม่เพียงจะทำลายสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเจ้า ข้ายังจะให้พวกเจ้าตายทั้งเป็น ให้พวกเจ้าไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป ข้าจะเฉือนเนื้อของพวกเจ้าออกมา พวกเจ้ารอข้าอยู่นี่แหละ…” ท่าทางของเผิงเวยจิ่นดูย่ำแย่มาก หนีออกไปจากโรงเตี้ยมแบบล้มลุกคลุกคลาน แต่ก่อนจากยังคงมีความโกรธแค้นอย่างยิ่ง ฝากคำพูดที่เหี้ยมโหดนักเลงอย่างยิ่งเอาไว้
จิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยยิ้มและส่ายหน้าสำหรับนิสัยเช่นนี้ของเผิงเวยจิ่น และกล่าวว่า “สวะ ทำบ้านตระกูลเผิงขายหน้าจนสิ้น!”
จิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยหลังกล่าวจบคำแล้ว รีบสาวเท้าขึ้นไปและแสดงคารวะด้วยการโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ข้าน้อยซวี๋จื้อเจี๋ย เป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ท่านผู้นี้จะต้องเป็นพี่หลี่แน่นอน”
ดูท่าขณะซวี๋จื้อเจี๋ยมาที่นี่ก็ได้สืบทราบข่าวเกี่ยวกับหลี่ชิเย่มาบ้างแล้ว เพียงแต่เขายังไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ ซึ่งข้อมูลด้านนี้ไม่ว่าจะเป็นหวังหานหรือว่าจวนหวังก็ไม่ได้เปิดเผยฐานะของหลี่ชิเย่ให้กับบุคคลภายนอกได้ทราบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...