ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกนับถือในตัวของเผิงเวยจิ่นอยู่ไม่น้อยที่ไปแล้วก็กลับมาอีก เพิ่งจะถูกหยางเซิ่นผิงตบปากอย่างแรงเมื่อครู่นี้เอง ไม่นึกเลยว่านอกจากเขาจะไม่จดจำบทเรียนแล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้นกลับไปตามผู้ช่วยมาอีก ทั้งยังดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน
ผู้คนที่มองเห็นภาพของเผิงเวยจิ่นที่เวลานี้ยังคงมีท่าทีที่อยู่เหนือผู้คนแล้วต้องรู้สึกเลื่อมใส ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโง่เขลาหรือว่าบ้าบิ่นกันแน่ ขนาดถูกคนเขาสั่งสอนมาอย่างหนักแล้วยังคงมีท่าทีเช่นนี้ได้ ทำให้ผู้คนไม่อาจไม่ยอมรับว่าเผิงเวยจิ่นมีจิตใจที่เข้มแข็งมาก หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงกลายเป็นเงามืดอยู่ในใจไปนานเมื่อถูกตบปากต่อหน้าผู้คนมากมาย เมื่อพบเห็นพวกของหลี่ชิเย่คงหนีไปไกลนานแล้ว
“เจ้าหนู วันนี้เจ้าตายแน่แล้ว!” มาคราวนี้หลังจากเผิงเวยจิ่นได้ขนผู้ช่วยมาแล้ว ด้วยท่าทีที่อยู่เหนือผู้คน และดูจะยโสยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก เหมือนลืมไปแล้วว่าเพิ่งจะถูกหยางเซิ่นผิงตบปากไปหมาดๆ
“ท่านองค์รักษ์ เจ้าหนูคนนี้คือสุนัขรับใช้ของจวนหวัง รีบฆ่ามันเสีย” เวลานี้เผิงเวยจิ่นกล่าวด้วยท่าทีหลงละลืมลำพอง
เวลานี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนต่างมองไปที่คนหนุ่มข้างกายของเผิงเวยจิ่น คนหนุ่มผู้นี้สวมชุดแพรทั้งชุด ภาพรวมของเขาแลดูมีกลิ่นอายที่สูงส่ง พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าเขามีชาติกำเนิดจากตระกูลที่สูงส่ง เป็นผู้ที่มีหน้าตาดีมาก แต่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนหาใช่รูปลักษณ์หน้าตาที่หล่อเหลาของเขา แต่เป็นกลิ่นอายสูงส่งบนตัวของเขา กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของชายหนุ่มทำให้ให้ผู้คนต้องเคารพยำเกรงอยู่ในใจ ไม่กล้าเพิกเฉยต่อเขา
“นายน้อยตระกูลเฉิน องครักษ์เมืองหลวง เฉินซูเหว่ย!” ระดับผู้อาวุโสของสำนักถึงกับเย็นวาบในใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมาเมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่สูงส่งยิ่งผู้นี้
ตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่ง สูงส่งสุดจะเอ่ยถึง กองกำลังซั่งในฐานะหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ขณะที่ตระกูลเฉินคือแกนหลักของกองกำลังซั่ง เป็นเสาหลักของกองกำลังซั่ง
กองกำลังซั่งมียอดฝีมือเป็นจำนวนมาก แต่ว่ายอดฝีมือส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่กำเนิดมาจากตระกูลเฉิน ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเฉินก็เคยให้กำเนิดราชันแท้จริงมาก่อน!
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็คือนายน้อยตระกูลเฉิน และคือองครักษ์เมืองหลวงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เขาได้กุมกำลังทหารของลานหลวงเอาไว้ไม่น้อย นับว่ามีความองอาจกล้าหาญอย่างยิ่ง
เฉินซูเหว่ย องครักษ์เมืองหลวง ความสามารถและชาติกำเนิดของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับกษัตราแท้จริงขั้นต้น
อีกทั้งเฉินซูเหว่ยที่อยู่ในฐานะองครักษ์เมืองหลวงก็เหมือนเช่นจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ย พวกเขาต่างก็เป็นผู้รับการคัดเลือกเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป พวกเขาทั้งสองต่างมีคุณสมบัติชิงบัลลังก์ด้วยกันทั้งคู่
ดังนั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นองครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ย บรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ และระดับผู้อาวุโสของสำนักจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันลุกขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อองครักษ์เมืองหลวงผู้นี้
“เวยจิ่น อย่าได้เอะอะโวยวาย อย่าได้เสียมารยาท” ในขณะที่เผิงเวยจิ่นชี้หน้าเอ็ดตะโรลั่นกับหลี่ชิเย่อยู่นั้น เฉินซูเหว่ยได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
เผิงเวยจิ่นรู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ก็จำใจไปยืนอยู่ด้านข้างด้วยความแค้น ดวงตาทั้งสองจ้องมองหลี่ชิเย่และหยางเซิ่นผิงด้วยความโหดเหี้ยมยิ่งนัก เวลานี้เขาไม่ได้เกรงกลัวต่อพวกของหลี่ชิเย่เลยแม้แต่น้อย ไม่สนว่าพวกของหลี่ชิเย่จะมีผู้สนับสนุนเช่นใดเขาก็ไม่กลัว! เนื่องจากผู้สนับสนุนของเขาก็แข็งแกร่งเช่นกัน กระทั่งกล่าวได้ว่ามีแต่แข็งแกร่งกว่าและไม่ด้อยไปกว่าจวนหวัง!
“พี่ซี๋วก็อยู่ที่นี่นะเนี่ย นับว่าบังเอิญเหลือเกิน” เมื่อเฉินซูเหว่ยเห็นจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยก็อยู่ในเหตุการณ์ ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวทักทาย
จิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยแฝงรอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวเรียบๆ ว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ แต่ว่า ตำบลโบราณแห่งนี้มีขนาดเพียงเท่านี้ สามารถมาพบกันโดยบังเอิญได้ก็นับเป็นเรื่องปรกติ”
เดิมทีจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยกำลังสะอึกกับคำพูดของหลี่ชิเย่หาทางลงไม่ได้ เวลานี้เมื่อเผิงเวยจิ่นมาอาละวาดเช่นนี้ กลับกลายเป็นช่วยคลี่คลายความกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของเขาลง ทำให้เขาสามารถหาทางลงได้แล้ว
หลังจากที่เฉินซูเหว่ยได้กล่าวทักทายซี๋วจื้อเจี๋ยแล้วก็ได้แสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “น้อง เฉินซูเหว่ยได้ยินกิตติศัพท์ของพี่หลี่มานาน ขณะที่พี่หลี่อยู่ลานหลวงนั้น น้องไม่ได้ให้การต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านต้องขอโทษด้วย หวังว่าพี่หลี่จะให้อภัย”
การที่เฉินซูเหว่ยแสดงความปรารถนาดีต่อหลี่ชิเย่กะทันหัน ทำให้บรรดาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกเหนือความคาดคิด มันเป็นเรื่องที่บรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ และระดับผู้อาวุโสของสำนักจำนวนมากนึกไม่ถึง
การที่เฉินซูเหว่ยแสดงความปรารถนาดีต่อหลี่ชิเย่กะทันหันนั้น ความจริงแล้วก็เป็นความคิดเดียวกันกับจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ย เขาเองก็สืบทราบข่าวจากจวนหวังได้มาบ้าง ราชินีหวังหานถูกเหล่าผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกถอนพลัง กระทั่งอาจจะถูกปลดออกจากตำแหน่งนั้น หนึ่งในเหตุผลก็คือตัวของหลี่ชิเย่ ฟังว่าราชินีหวังหานให้ความสำคัญหลี่ชิเย่มากเป็นพิเศษ กระทั่งต้องการให้จวนหวังปกป้องหลี่ชิเย่เต็มที่
เฉินซูเหว่ยเองก็รู้สึกแปลกใจยิ่งก็ข่าวนี้มากเป็นพิเศษ เพราะอะไรราชินีหวังหานถึงได้ให้ความสำคัญกับคนนอกคนหนึ่งถึงเพียงนี้ คนที่ชื่อหลี่ชิเย่มีเส่ห์เช่นใดกันแน่ หรือว่าเขามีความสามารถใดกันแน่ และหรือในมือของเขาได้กุมความลับที่ผู้อื่นไม่รู้เอาไว้
ดังนั้น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เฉินซูเหว่ยก็ต้องการดึงตัวหลี่ชิเย่ให้มาอยู่กับฝ่ายตน ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจของหลี่ชิเย่เองก็ดี หรือจับเป็นก็ช่าง เขาก็จะต้องเอาตัวหลี่ชิเย่มาให้ได้!
จะอย่างไรเสีย ราชินีหวังหานหาใช่คนธรรมดา ในครั้งนั้นกษัตริย์ที่สวรรคตไปก็เป็นเพียงเจ้าหนูที่เป็นบุคคลภายนอก แต่หวังหานก็ยังคงแต่งงานกับเขา และผลักดันเขาให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์! เรียกได้ว่าหวังหานเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาความสามรถคนหนึ่ง การที่นางให้ความสำคัญเจ้าหนูที่ไร้ชื่อไร้เสียงคนหนึ่งได้ ต้องมีสาเหตุที่ยิ่งใหญ่แน่นอน!
สำหรับคำพูดที่พูดไปตามมารยาทของเฉินซูเหว่ยนั้น หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจ ยังคงดื่มสุราและกับแกล้มโดยมีจูซือจิ้งที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ทั้งคอยรินสุราเติมให้ ทั้งคีบกับแกล้มป้อนเข้าปากของหลี่ชิเย่
บรรดาระดับผู้อาวุโสของสำนัก และศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกัน เมื่อเห็นการวางมาดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ เจ้าหนูผู้นี้ยังคงทำตัวสูงเด่นแม้อยู่ต่อหน้าองครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ย และจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ย ภายใต้การปรนนิบัติของสาวใช้ ดื่มสุรา กินกับแกล้ม ทั้งยังต้องให้สาวใช้คีบป้อนให้ถึงปาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...