สมควรทราบว่า อายุของจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ย องครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ยล้วนแล้วแต่ใกล้เคียงกับฉู่ชิงหลิน กระทั่งฉู่ชิงหลินอาจจะมีอายุอ่อนกว่าด้วยซ้ำ ขณะที่จิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยและองครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ยอยู่ในระดับกษัตราแท้จริงขั้นต้นเท่านั้นเอง
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม พวกเขาก็คือยอดฝีมือที่โดดเด่นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว นับเป็นอัจฉริยะบุคคลแล้ว และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงมีคุณสมบัติเข้าชิงตำแหน่งกษัตริย์ได้
แม้แต่กษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเอง ฟังว่าก่อนที่จะสวรรคตไปนั้นก็อยู่ในระดับกษัตราแท้จริงขั้นสูงเท่านั้นเอง
ขณะที่ฉู่ชิงหลินมีอายุเพียงเท่านี้ก็อยู่ในระดับปราชญ์แท้จริงแล้ว กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่านางได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปอยู่ในระดับเทพแท้จริงแล้ว ด้วยกำลังความสามารถเช่นนี้เมื่อเทียบกับกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้วไม่รู้ว่าเหนือกว่ากันเท่าไร ช่างเป็นศักยภาพที่แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือพรสวรรค์ของฉู่ชิงหลิน
ด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็มีศักยภาพและกำลังถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าบรรดาบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างมั่นใจใจตัวของนาง ต่างเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ ต่างเห็นด้วยว่านางคือผู้ที่พลังแฝงในอันที่จะกลายเป็นราชันแท้จริงยุคใหม่ได้
เป็นความจริงที่ฉู่ชิงหลินนั้นมีพลังแฝงที่จะกลายเป็นราชันแท้จริงรุ่นใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์ หรือด้านกำลังความสามารถนางก็มีคุณสมบัติเช่นนี้ เพียงแค่ขาดความชำนาญเท่านั้นเอง
ยามที่ระดับปราชญ์แท้จริงคนหนึ่งคลั่งและอาละวาดขึ้นมา มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันล่าถอยเว้นระยะห่างให้มากพอ
“ไม่ต้องโกรธเคือง เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” จังหวะที่ฉู่ชิงหลินกำลังคลั่งจะอาละวาดนั้น หลี่ชิเย่ยังคงกล่าวด้วยท่าทีที่เรียบเฉยอย่างยิ่ง กระทั่งไม่ได้มองหน้านางสักแวบหนึ่งด้วยซ้ำ
ทันทีที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าเจ้าหนูคนนี้เป็นคนสียสติ ถึงกับกล้าคุยโวขนาดนี้ สมควรทราบว่าเท้าข้างหนึ่งของฉู่ชิงหลินได้ก้าวสู่ระดับเทพแท้จริงแล้ว อย่าว่าแต่กลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แม้แต่รุ่นอาวุโสจำนวนมากก็หาใช่คู่ต่อสู้ของนาง ผู้ที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของนางคงมีเพียงผู้ดำรงอยู่ในระดับบรรพบุรุษแล้ว
ออกไปให้หมด…เวลานี้ฉู่ชิงหลินกล่าวน้ำเสียงน่าเกรงขามออกมา ขณะนี้เส้นผมของนางสยายอย่างแรงโดยไม่ต้องอาศัยลม แม้ว่านางยังไม่ทันได้ระเบิดพลังที่พาลอย่างบ้าระห่ำยิ่งออกมา แต่กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกจากร่างของนางนับว่าเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องหวาดผวาแล้ว ศิษย์ที่ทักษะอ่อนจำนวนไม่น้อยตกใจจนเข่าอ่อนทั้งสองข้าง
พลันที่ฉู่ชิงหลินพูดคำๆ นี้ออกมา ระดับผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ และบรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณต่างตกใจกันยกใหญ่ ทุกคนชิงวิ่งหนีออกจากประตูโรงเตี้ยม กระทั่งบางคนที่ไปแบบล้มลุกคลุกคลาน ทุกคนต่างรู้ดีว่า ณ ที่ตรงนี้มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นสมรภูมิรบ หากไม่หนีไปอีกล่ะก็ ไม่แน่นักอาจถูกฉู่ชิงหลินที่คลั่งอาละวาดซัดจนกลายเป็นหมอกเลือดก็เป็นได้
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อทุกคนต่างวิ่งหนีออกไปจากโรงเตี้ยมไปแล้ว ประตูหน้าต่างทุกบานภายในโรงเตี้ยมพลันปิดลงอย่างแน่นหนา ทั่วทั้งโรงเตี้ยมเสมือนหนึ่งกลายเป็นช่องว่างที่ถูกปิดกั้นเอาไว้
“วางใจเถอะ ข้าจะไว้หน้าให้กับเจ้าอยู่แล้ว จะไม่มีใครได้เห็นภาพทุเรศที่เจ้าถูกซัดจนน่วม” ฉู่ชิงหลินกล่าวน่าเกรงขามออกมา
หากไม่เป็นเพราะหวังหานขอให้นางช่วยดูแลเจ้าหนูที่ไม่รู้จักคำว่าตายผู้นี้ล่ะก็ นางจะต้องจัดการอัดเจ้าหนูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้จนต้องนอนติดเตียงอย่างแน่นอน
บุคคลภายนอกน้อยคนนักที่รู้ว่าฉู่ชิงหลินกับหวังหานนั้นมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่พวกนางคนหนึ่งมีชาติกำเนิดมาจากจวนหวัง อีกคนมาจากค่ายฉู่ บวกกับหวังหานนั้นกุมอำนาจของโลกมนุษย์ปุถุชน ขณะที่ฉู่ชิงหลินต้องการครอบครองราชันแท้จริง ดังนั้นพวกนางจึงไปมาหาสู่กันน้อยมาก แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวยังคงดีมาก!
มาคราวนี้ หวังหานถูกกล่าวโทษจากผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของจวนหวัง กระทั่งมีความเป็นไปได้จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่นางยังคงให้สาวใช้ประจำตัวนำจดหมายลับมายื่นให้กับนาง ให้นางคอยดูแลหลี่ชิเย่ แน่นอนที่สุด ในจดหมายหวังหานไม่ได้พูดชัดเจนเกี่ยวกับฐานะและประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ด้านมิตรภาพฉู่ชิงหลินนับว่าได้ทำเต็มที่แล้ว คราวนี้นางได้ก้าวออกมาคลี่คลายสถานการณ์ให้กับหลี่ชิเย่ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกอยู่ภายใต้การตีขนาบของกองกำลังซั่งและหอศักดิ์สิทธิ์
“ถ้าเช่นนั้นสมควรที่ข้าควรขอบคุณเจ้าใช่หรือไม่? นับว่าเป็นนังหนูที่รู้ใจที่สุดจริงๆ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาสำหรับคำพูดของฉู่ชิงหลินนั่น จากนั้นได้ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “แต่ว่า อาศัยฝีมือเจ้าเพียงเท่านี้คิดจะทำให้ข้าต้องลงไปคลานกับพื้นมันก็แค่ความคิดของคนฝันเฟื่องเท่านั้น ต่อให้เจ้าก้าวขึ้นตำแหน่งราชันแท้จริงก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถ้าหากเจ้ามีความสามารถเช่นผู้เฒ่ากำแหงยังพอไหวอยู่บ้าง”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้ฉู่ชิงหลินถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ นางอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าหนูคนนี้เสียสติหรือไม่อย่างไร
ฉู่ชิงหลินยังไม่ถึงขั้นเป็นคนอวดดีและหลงตัวเอง คิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า กระทั่งหลี่ชิเย่ บอกว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา บางทีนางอาจจะเชื่อในคำพูดนั้นก็เป็นได้
แต่ทว่า เวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับพูดจาสามหาว บอกว่าแม้แต่ราชันแท้จริงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา มีเพียงผู้เฒ่ากำแหงที่เป็นปฐมบรรพบุรุษจึงมีคุณสมบัติเป็นศัตรูกับเขาได้อย่างแท้จริง คำพูดลักษณะเช่นนี้มันโรคจิตโดยแท้
อย่าว่าแต่ทอดสายตามองไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ต่อให้ทอดสายตามองไปยังแดนสามเซียน จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดว่าแม้แต่ราชันแท้จริงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน? สำหรับปฐมบรรพบุรุษแล้วไม่ต้องพูดถึงเลย ทั่วทั้งแดนสามเซียนก็มีเพียงไม่กี่คนที่หาญกล้ากล่าววาจาสามหาวไปท้าสู้กับระดับปฐมบรรพบุรุษ
กล่าวสำหรับผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรใดๆ ก็ตาม ปฐมบรรพบุรุษคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุด มีแต่ผู้ที่ก้าวไปถึงระดับเช่นนี้แล้วจึงเข้าใจถึงความน่ากลัวของปฐมบรรพบุรุษได้อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...