ขณะที่หยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งกำลังตกใจกับหลุมขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้านั้น หลี่ชิเย่ได้พาพวกเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาที่อยู่ด้านซ้าย พวกเขาเดินไปตามสันเขาด้านซ้าย สุดท้ายได้หยุดอยู่บริเวณภูเขาที่อยู่ตรงกลาง
หลี่ชิเย่ได้ค้นพบถ้ำแห่งหนึ่งบริเวณกลางเขาของภูเขาลูกนี้ โดยที่ถ้ำหินแห่งนี้หันหน้าไปทางด้านหลุมขนาดยักษ์ กระทั่งบริเวณกึ่งกลางของถ้ำตรงกับตำแหน่งของหลุมขนาดยักษ์นั่น
ขณะที่ยืนอยู่ด้านหน้าของถ้ำหิน ทั้งจูซือจิ้งและหยางเซิ่นผิงมองดูแล้วพบว่า ถ้ำหินแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนว่ามีคนขุดเจาะให้เป็นเช่นนี้ บริเวณปากถ้ำยังได้ผ่านการแกะสลักมาก่อน ดูไปแล้วเหมือนเป็นบ้านหินมากกว่า
เมื่อหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งเดินเข้าไปยังถ้ำหินแล้ว พบว่าข้างในมีลักษณะเป็นห้องอยู่หลายห้อง โดยที่ห้องเหล่านี้มีม้านั่งและโต๊ะหินอยู่ภายใน เพียงแต่ไม่ได้มีคนอาศัยอยู่เป็นเวลานานมากแล้ว
“มันคือที่ตรงนี้แหละ” หลังจากหลี่ชิเย่ได้พิจารณาถ้ำหินแห่งนี้แล้ว กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
ไม่ต้องให้หลี่ชิเย่สั่งการให้มากความ ทั้งหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งรีบเร่งทำความสะอาดบริเวณถ้ำแห่งนี้ทั้งด้านนอกด้านในจนสะอาดเลี่ยม เพียงชั่วพริบตาเดียวทั่วทั้งถ้ำก็เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา เหมือนเป็นบ้านหลังหนึ่งที่พร้อมเข้าอยู่อาศัยอย่างนั้น
“พวกเราจะทำอะไรกันที่นี่เล่า?” หลังจากที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จูซือจิ้งถึงกับเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พวกเราจะพักอยู่ที่นี่เพื่อตามหาโสมโลหิตกันรึ?”
“โสมโลหิต?” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “ถ้าหากเพียงเพราะโสมโลหิตอายุพันล้านปีล่ะก็ ยังไม่คุ้มค่าที่ข้าต้องรั้นด้นมาแต่ไกลขนาดนี้ด้วยตนเอง อีกอย่าง ต่อให้เขาฟันหลอมีโสมโลหิตจริงๆ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นหา ถ้าหากข้าต้องการจริงๆ ล่ะก็ มันจะมาหาข้าถึงที่เอง”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาดวงตาคู่นั้นของจูซือจิ้งถึงกับเบิกกว้าง รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และกล่าวว่า “คุณชาย ได้ยินมาว่าสมุนไพรวิเศษที่มีอายุพันล้านปี ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณในตัว สามารถเหาะเหินดำดินได้ สามารถไปได้ทุกหนทุกแห่ง มันจะส่งตัวมันเองมาให้คนอื่นกินมันรึ?”
“ถ้าหากข้าต้องการกินมัน อย่าว่าแต่พันล้านปีเลย ต่อให้เป็นล้านล้านปีมันก็ต้องมาให้ข้ากินแต่โดยดี” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “แต่ว่า ถ้าหากมันคือโสมโลหิตพันล้านปีจริงๆ ล่ะก็ ตุ๋นมันกินแบบนี้นับว่าน่าเสียดายนัก มีเพียงพวกไร้สมองเท่านั้นที่ทำเช่นนี้”
“เพราะอะไร?” จูซือจิ้งรู้สึกฉงน เหมือนเป็นเด็กๆ ที่อยากรู้อยากเห็นคนหนึ่งอย่างนั้น
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หากเจ้ามีแม่ไก่สักตัวหนึ่ง เจ้าจะจับมันมาตุ๋นกิน หรือว่าให้มันออกไข่ให้เจ้ากินทุกวันล่ะ? ต้นโสมโลหิตลักษณะเช่นนี้ถ้าหากเอาไว้ข้างกาย นั่นคือสุดยอดของบำรุงเลยทีเดียว ให้มันอยู่ข้างกายดีกว่าจับมันมาตุ๋นกินเป็นไหนๆ มีแต่คนที่มองอะไรสั้นๆ จึงจะจับมันมาตุ๋นกิน”
ครั้นจูซือจิ้งถูกหลี่ชิเย่กล่าวเตือนสติเช่นนี้แล้วจึงได้เข้าไจ แน่นอนนางไม่เคยได้เห็นโสมโลหิตที่แท้จริงมาก่อน อย่าว่าแต่โสมโลหิตพันล้านปีเลย แต่นางก็พอจะจินตนาการได้ว่า หากนางสามารถเพาะเลี้ยงต้นโสมโลหิตพันล้านปีสักต้นหนึ่ง มันช่างเป็นเรื่องที่สุดแสนจะดีเพียงใดนะเนี่ย
เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้เข้าไป่ยังห้องๆ หนึ่ง และทิ้งตัวลงนั่งอยู่ตรงนั้น สั่งการกับจูซือจิ้งและหยางเซิ่นผิงว่า “ออกไปเถอะ อย่ามารบกวนข้า”
จูซือจิ้งและหยางเซิ่นผิงทยอยกันเดินออกไป พวกเขาเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ต้องการฝึกยุทธ ดังนั้น จึงได้ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าถ้ำ คอยปกป้องให้กับหลี่ชิเย่
หลังจากจูซือจิ้งและหยางเซิ่นผิงออกไปแล้ว หลี่ชิเย่เพียงปิดกั้นช่องว่างไปตามอารมณ์ เขาทั้งตัวนั่งลงและเข้าฌานสมาธิ ในเวลานี้ ลัคนาของเขาได้ปรากฏ ทะเลแห่งความรู้เปล่งประกายแวบวับออกมา
จากนั้นกฎเกณฑ์แต่ละข้อได้ปรากฏขึ้นมาจากทะเลแห่งความรู้อย่างช้าๆ มันคือกฎเกณฑ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เหมือนว่ามันถูกทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์แล้ว
เมื่อกฎเกณฑ์แต่ละสายได้ปรากฎขึ้นมาแล้ว มันกลับเสมือนดั่งงูที่ว่องไวมุดลงใต้ดินโดยพลัน คล้ายหายตัวลึกเข้าไปในหินอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไร ได้ยินเสียงดังแว้งค์ขึ้นมาเสียงหนึ่ง เวลานี้ข้างใต้ของหลี่ชิเย่ปรากฎเป็นค่ายกลที่เกิดจากการถักทอขึ้นมาของกฎเกณฑ์แต่ละสาย และเปล่งประกายแวบวับที่เก่าแก่โบราณออกมา
เสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ดังขึ้นมาเป็นระลอก จากการที่ค่ายกลขนาดใหญ่ได้ส่งประกายสว่างไสวมากขึ้นทุกที และมีอักขระยันต์แต่ละตัวที่ลอยขึ้นมา และกลายเป็นประตูๆ หนึ่งขึ้นมา
แต่ประตูดังกล่าวไม่ได้ตั้งอยู่กับค่ายกลใหญ่ โดยทั่วไปแล้ว ประตูมิติล้วนแล้วแต่ตั้งขึ้นทั้งสิ้น แต่ทว่าประตูมิตินี้กลับวางราบอยู่กับค่ายกล เมื่อประตูลักษณะเช่นนี้เปิดออก มองดูไปก็คล้ายดั่งเป็นวังวนสีเงินที่ปรากฏอยู่ใต้เท้าของหลี่ชิเย่ โดยที่วังวนดังกล่าวหมุนวนไม่หยุดนิ่ง เหมือนพร้อมจะดูดเอาหลี่ชิเย่เข้าไปได้ทุกเมื่ออย่างนั้น
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้ลุกขึ้นยืนและก้าวเท้าก้าวเดียวเข้าไปในวังวนนี้ ได้ยินเสียงดังแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ร่างของหลี่ชิเย่ถูกวังวนนี้ดูดเข้าไปทั้งร่างและหายตัวไปในชั่วพริบตาเดียว
เมื่อหลี่ชิเย่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งนั้น ตัวเขาเสมือนหนึ่งได้ยืนอยู่บนโลกอีกโลกหนึ่ง ที่ตรงนี้มีอักขระยันต์ที่สลับไขว้กันไปมา กลิ่นอายสัจธรรมตลบอบอวล ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ที่ตรงนี้เสมือนหนึ่งเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต
แน่นอนที่สุด น้ำทะเลที่กระเพื่อมอยู่นั้นไม่ใช่น้ำทะเล แต่เกิดจากอักขระยันต์ปริมาณมหาศาลที่ไม่มีสิ้นสุด ครั้นบังเกิดเสียงดังตูมขึ้นมา มองเห็นคลื่นยักษ์ที่สูงเทียมฟ้า ซึ่งมันไม่ใช่คลื่นทะเล แต่เป็นคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นจากอักขระยันต์ที่ไม่มีสิ้นสุดที่โหมกระหน่ำเข้ามา
ที่ตรงนี้ยังมีอักขระยันต์ขนาดยักษ์ที่เก่าแก่โบราณยิ่ง อักขระยันต์ทุกตัวใหญ่เท่าๆ กับภูเขาลูกหนึ่ง โดยที่อักขระยันต์เท่าภูเขาแต่ละตัวบ้างลอยล่องอยู่บนท้องห้า บ้างแนบติดแน่นอยู่กับพื้นดิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...