หลี่ชิเย่เดินไปข้างหน้าต่อไป เขาเดินได้ไม่เร็วนัก ยิ่งก้าวเดินลึกเข้าไปยังดินดินแดนต้นกำเนิดไฟมากเท่าไร เปลวไฟที่แลบออกมาจากตัวของเขาก็มีมากขึ้นๆ สุดท้าย เปลวไฟได้แลบออกมาทั้งตัว ดูไปแล้วเขาก็เป็นเหมือนดั่งมนุษย์ไฟคนหนึ่งอย่างนั้น ง่ายต่อการทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญตนที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟ
ระหว่างที่หลี่ชิเย่ก้าวเดินโคลนอยู่ท่ามกลางดินโแดนต้นกำเนิดไฟ ระหว่างทางได้พบเจอยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนอื่นๆ จำนวนไม่น้อย มีทั้งหมอโอสถ มีเผ่าไฟ และมีผู้คนบางส่วนที่ตามล่าของวิเศษ
ครั้นหลี่ชิเย่เดินทางผ่านหุบเขาแห่งหนึ่ง มองเห็นภายในหุบเขาเป็นทุ่งหญ้าที่กินพื้นที่กว้างใหญ่มาก อีกทั้งพืชและไม้ดอกที่ขึ้นอยู่บนทุ่งหญ้าแห่งนี้ไม่ได้มีสีเขียว แต่เป็นต้นหญ้าสีแดงดั่งเปลวเพลิงที่แลบออกมาวูบวาบ ต้นหญ้าเหล่านี้มีสีแดงทั้งต้นและอ่อนนุ่มอย่างยิ่ง ยามที่สายลมพัดโชยมานั้น ต้นหญ้าพริ้วไหวโอนเอนไปมา แลดูคล้ายดั่งไฟป่าที่กำลังลุกไหม้อย่างนั้น
ในขณะนี้ ภายในหุบเขามีผู้คนออกันอยู่เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มที่นำพาศิษย์จำนวนมากยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของหุบเขาแห่งนี้ไปทั้งหมด
ท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้ข่มเหงผู้คน สวมใส่ชุดแพรทั้งชุด ในเวลานี้เขากำลังสั่งการศิษย์ในสำนักทำการตีเส้นแบ่งเขต และเอ็ดตะโรกับคนอื่นๆ ว่า “ทุกคนห้ามยืนล้ำเส้น ทั้งหมดให้ยืนอยู่นอกเส้นให้หมด หญ้าเหยี่ยวไฟที่อยู่ภายในเส้นล้วนแล้วแต่เป็นของแคว้นว่านโซ่วของพวกเรา”
บรรดาผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ภายในหุบเขาต่างทยอยกันแสดงความไม่พอใจ เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ จึงมีผู้ส่งเสียงคัดค้านขึ้นมาว่า “แบบนี้ออกจะเกินเลยไปแล้วกระมัง ดินแดนต้นกำเนิดไฟใช่จะเป็นของพวกเจ้าโดยเฉพาะ ในบรรดาพวกเราก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่นับเป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ พวกเจ้าแคว้นว่านโซ่วอาศัยอะไรมาข่มเหงกันขนาดนี้”
“ก็อาศัย ‘แคว้นว่านโซ่ว’ สามตัวนี้แหละ” ชายหนุ่มผู้นี้หยิ่งผยองอย่างยิ่ง ท่าทางข่มเหงผู้คน ไม่สนใจแม้จะต้องเผชิญกับความโกรธแค้นของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “อาศัยแคว้นว่านโซ่วที่เป็นสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้ของพวกเราแค่นี้ยังไม่พออีกรึ? ข้าหวูเลี่ยนใช่ว่าจะไม่เหลืออะไรให้พวกเจ้าเมื่อไหรกัน”
“โน่น…พวกเจ้าดูนั่นสิ ข้าได้เผื่อพื้นที่ตรงนั้นให้กับพวกเจ้าเอาไว้แล้วไม่ใช่รึ?” กล่าวพลางมือชี้ไปที่มุมๆ หนึ่งที่อยู่ด้านข้างของหุบเขา ซึ่งเป็นเพียงสนามหญ้าที่มีขนาดเล็กมากผืนหนึ่งเท่านั้น บนสนามหญ้าเล็กๆ ผืนนี้มีหญ้าเหยี่ยวไฟขึ้นอยู่น้อยมาก ทั้งยังขึ้นเป็นกะหร็อมกะแหร็ม กระจัดกระจายตรงนี้นิดตรงนั้นหน่อย
“หญ้าเหยี่ยวแดงที่ขึ้นเป็นกะหร็อมกะแหร็มเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่หนอนไฟเหมันต์จะเป็นสร้างรังอยู่แล้วนี่” มีผู้ที่อดบ่นพึมพำออกมาไม่ได้
“แหะ…มันจะมีหนอนไฟเหมันต์ไปสร้างรังหรือไม่มันเป็นเรื่องของพวกเจ้า แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับคุณชายอย่างข้า?” ท่าทีของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าหวูเลี่ยนนั้นข่มเหงผู้คน โบกมือไล่ว่า “ไป ไป ไป ทั้งหมดหลบไปข้างๆ อย่าเกะกะพวกเรา”
เวลานี้ ทุกคนต่างรู้สึกโกรธมากแต่ก็จนด้วยเกล้า เป็นความจริงที่แคว้นว่านโซ่วคือสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอมตะ กระทั่งมีกำลังที่กล้าแข็งและโดดเด่นเหนือกว่าหุบเขาอมตะเสียอีก
อีกทั้งชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลหวูของแคว้นว่านโซ่ว นับได้ว่าเป็นพระญาติพระวงศ์คนหนึ่ง มีชาติกำเนิดที่สูงส่ง มีไม่กี่คนที่กล้าหาเรื่องกับเขา
“ผู้ที่ไม่ใช่คนของเรา ล้วนแล้วแต่ถอยห่างออกไปจากเส้นที่ตีเอาไว้ ใครที่ไม่ยอมไปประหารให้หมด” ท่าทีของหวูเลี่ยนแข็งกร้าวและดุดัน ดวงตาทั้งสองเผยประกายโหดร้ายออกมา ข่มขู่บรรดาผู้บำเพ็ญตนอื่นที่ยังไม่ยินยอมถอนตัวออกไปนอกเส้น
“ได้ยินนายน้อยพูดแล้วยัง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถอยออกไปให้หมด” ในเวลานี้ ศิษย์ที่อยู่ข้างกายต่างทยอยกันไล่ผู้บำเพ็ญตนคนอื่นๆ ที่ไม่ยอมจากไปเหล่านั้น
ผู้บำเพ็ญตนอื่นๆ จนปัญญา ได้แต่ทยอยกันถอยออกไปด้านนอกเส้นที่ตีเอาไว้ พวกเขามาเพื่อหนอนไฟเหมันต์ไม่ได้มาเพื่อแลกชีวิต ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับแคว้นว่านโซ่วเพียงเพราะเรื่องของหนอนไฟเหมันต์ ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเอาชีวิตของตนมาทิ้งเพียงเพราะเรื่องของหนอนไฟเหมันต์
“เจ้าหูหนวกหรือ? ไม่ได้ยินคำพูดของนายน้อยพวกเรารึ? ไสหัวออกไปนอกเส้นเดี๋ยวนี้” เวลานี้ที่สนามหญ้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งไม่ฟังยืนอยู่ตรงนั้นไม่อยากจากไป ศิษย์ในสำนักของหวูเลี่ยนจึงเข้าไปผลักอกเขาทันที
ชายหนุ่มผู้นี้สวมใส่ชุดสีเทาทั้งชุด แลดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง แค่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามีชาติกำเนิดมาจากสำนักขนาดเล็ก เวลานี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำเมื่อถูกศิษย์ของหวูเลี่ยนผลักอก
“นาย นายน้อยหวู ตระกูลซ่งของข้า ข้า ก็ ก็คือสำนักในสังกัดของแคว้นว่านโซ่วเหมือนกัน ข้า ข้าก็เป็นศิษย์ของแคว้นว่านโซ่วนะ” ชายหนุ่มผู้นี้ใบหน้าแดงก่ำ ไม่ง่ายนักกว่าจะพูดประโยคนี้ออกมาได้ เวลาพูดดูจะติดอ่างอยู่บ้าน พลันที่เห็นก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ที่พูดไม่เก่ง
“เจ้าน่ะหรือ?” หวูเลี่ยนเหลือบมองชายหนุ่มผู้ที่แวบหนึ่งและกล่าวว่า “เจ้าก็คือซ่งหวี่เฮ่าของตระกูลซ่งที่ตกต่ำไปแล้วคนนั้น?”
“ใช่ ใช่ ข้า ข้าก็คือซ่งหวี่เฮ่า บรรพบุรุษตระกูลซ่งของข้า ข้า ข้าก็เคยสร้างผลงานที่โด่งดังให้กับแคว้นว่านโซ่วมาก่อน” ชายหนุ่มที่ชื่อซ่งหวี่เฮ่าผู้นี้รีบพยักหน้า เขายังเข้าใจว่าหวูเลี่ยนจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นแคว้นเดียวกัน
“นั่นมันเรื่องที่นมนานมากมาแล้ว” หวูเลี่ยนกล่าวด้วยท่าทีดูแคลนว่า “ใช่ว่านายหมูนายหมาคนหนึ่งก็สามารถเป็นตัวแทนของแคว้นว่านโซ่วได้ ตระกูลซ่งของพวกเจ้ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรมาเรียกตัวเองว่าเป็นคนของแคว้นว่านโซ่ว หลบไปข้างๆ เสีย”
ใบหน้าของซ่งหวี่เฮ่าแดงก่ำ เมื่อถูกหวูเลี่ยนสบประมาทถึงเพียงนี้ ถึงกับยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นพูดอะไรไม่ออก
“ได้ยินคำพูดนายน้อยของข้าแล้วยัง ยังไม่รีบไสหัวออกไป” ศิษย์ของตระกูลหวูทำการขับไล่ทันทีเมื่อเห็นซ่งหวี่เฮ่ายังคงไม่เชื่อฟังและยืนอยู่ตรงนั้น
ซ่งหวี่เฮ่าพลันรู้สึกร้อนรนรีบเร่งกล่าวต่อหวูเลี่ยนว่า “นายน้อยหวู มารดาข้า ข้า ข้าป่วยหนัก ต้องการหนอนไฟเหมันต์ช่วยชีวิตเป็นการด่วน ท่าน ท่าน ท่านก็ให้ข้าได้อยู่ที่นี่ ให้ ให้โอกาสข้าสักครั้ง ข้า ข้าต้องการหนอนไฟเหมันต์ไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของนายน้อย”
“เกี่ยวอะไรกับข้า!” หวูเลี่ยนกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “รีบไสหัวออกไปเสีย มิฉะนั้นล่ะก็จะตัดหัวเจ้าออกมา”
ใบหน้าของซ่งหวี่เฮ่าเวลานี้แดงก่ำ ร้อนรนจนแทบจะร้องไห้ออกมา เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น
“ออกไป ออกไป รีบออกไป” ในขณะที่ซ่งหวี่เฮ่าไม่ยอมเชื่อฟังยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไป ศิษย์ของตระกูลหวูทั้งผลักไสทั้งลากจนซ่งหวี่เฮ่าออกไปอยู่นอกเขต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...